วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเซ็กส์ของเด็กร่าน บทที่ 158 ไอ้วินอินเจแปน (1)

ประสบการณ์ชีวิตในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปี 4
เรื่องที่น่าประทับใจสุดๆ อีกเรื่องนึงนั่นก็คือผมมีโอกาสไปประเทศญี่ปุ่นครับ

สำหรับเด็กนักศึกษาที่แต่ละเดือนเงินจะกินจะใช้จ่ายก็แทบจะไม่พอนั้น
การไปเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการครองชีพสูงอย่างประเทศญี่ปุ่น
ขอบอกว่าถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้ การไปถึงประเทศญี่ปุ่นคงจะเป็นการยากสำหรับผม

ผู้ชายคนที่ผมว่าก็คือ “ชินจิ” หนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อนิสัยดีที่ผมรู้จักเมื่อหลายปีก่อนนั่นเองครับ

(หาอ่านได้ใน บทที่ 37 ซัมเมอร์หรรษา ไปเที่ยวทะเล (3) และ (4) )
               
ผ่านไปหลายปีผมกับชินจิยังติดต่อกันมาตลอดแต่ปีหลังๆเขาไม่ค่อยมาเที่ยวประเทศไทย
เพราะหลังจากที่ชินจิจบปริญญาตรีที่โตเกียวเขาก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา
ถึงจะยุ่งกับการเรียนและสังคมใหม่ด้วยกันทั้งคู่ แต่พวกเราก็ยังพูดคุยกันทางอีเมลล์กันอยู่ตลอด

นิสัยจริงๆ ของชาวญี่ปุ่นนั้นจะมีความเป็นชาตินิยมสูงมาก
เป็นชาติที่ไม่ค่อยจะเปิดใจ หรือสนิทสนมกับใครง่ายๆ

แต่เพราะชินจิเรียนโรงเรียนนานาชาติที่โตเกียวมาตั้งแต่เด็ก
เขาเลยมีเพื่อนต่างชาติเยอะพอๆ กับคนชาติเดียวกัน
และพอจบปริญญาตรี เขาก็ไปไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา
เลยยิ่งทำให้ชินจิมีทัศนคติที่แตกต่างไปจากชาวญี่ปุ่นทั่วๆไป

โดยเฉพาะความมีอิสระเสรีทางความคิดและเรื่องใจคอที่กว้างขวาง แฟร์ๆ
และกล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นไม่กล้าทำ
และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกับเขาสามารถคบกันได้นานหลายปี

ตั้งแต่มีเซ็กส์กับชินจิในครั้งนั้นผมยอมรับว่าผมยังคิดถึงชินจิอยู่ตลอด
เพราะสำหรับคนบ้าเย็ดอย่างผม การได้เจอเด็กนอก อย่างชินจิและไดสุเกะ
ที่ทั้งหล่อ ทั้งแมน ทั้งควยใหญ่กันทั้งพี่ทั้งน้องเป็นใครจะไม่ติดใจ

แต่เพราะความห่างไกลอยู่ห่างกันครึ่งโลกสิ่งที่ทำได้ก็คือการพูดคุยทักทายกันทางอีเมลล์
เพราะตอนนั้นโซเชี่ยลต่างๆ ยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนอย่างทุกวันนี้

เวลาที่ต่างฝ่ายมีกิจกรรมดีๆ สนุกๆ พวกเราก็จะส่งรูปถ่ายให้อีกฝ่ายได้ดูอยู่ตลอด
ซึ่งก็เกิดจากสายสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนมากกว่าจะเป็นความรัก
จะว่าไปผมก็ดีใจนะที่มิตรภาพของเราเป็นแบบเพื่อน
เพราะคบแบบเพื่อนสามารถคบกันได้ยาวนานกว่าความรักโดยเฉพาะคนที่อยู่ไกลกันขนาดนี้

ผมกับเขาคุยกันถึงเรื่องเซ็กส์อยู่บ่อยๆ ตามประสาคนที่ชอบเรื่องเย็ดๆ เหมือนกัน
ชินจิมีค่านิยมเรื่องเซ็กส์ที่เปิดกว้างมากๆ
เขาบอกว่า...เรื่องเซ็กส์สำหรับเขามันก็เหมือนกับเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไป

เขาไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องมีอะไรกับ ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย เท่านั้น
แม้กระทั่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาเองถ้าต่างฝ่ายต่างมีความต้องการทางเพศ
แค่พูดกันแล้วเข้าใจ รู้เรื่อง เขาก็พร้อมที่จะมีอะไรด้วย

แต่นั่นต้องอยู่ในเงื่อนไงที่ว่า อีกฝ่ายห้ามแสดงความผูกมัด ห้ามหึงหวง
ซึ่งในนั้นจะมีเพื่อนนักศึกษาผู้หญิงที่เป็นฝรั่งของชินจิรวมอยู่ด้วย

หลายปีมานี้ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่ก็ได้รู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ตลอด
ทำให้ได้เห็นไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเขาทั้ง เรื่องเรียน สังคม การกินอยู่ สังคมเพื่อนๆ
จากการที่เขาส่งรูปถ่ายมาให้ดูอยู่เป็นระยะเห็นได้ว่าชินจิมีเพื่อนที่เป็นฝรั่งเยอะ
เพราะชินจิเป็นหนุ่มญี่ปุ่นที่รักอิสระมากๆ

ครั้งล่าสุดที่เราคุยกันคือตอนที่ชินจิเรียนจบปริญญาโทที่อเมริกา
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาโทรศัพท์จากอเมริกามาคุยกับผมค่อนข้างนาน

เขาบอกว่าพอเรียนจบทางครอบครัวให้ทำงานเกี่ยวกับการทำสื่อโฆษณา
เพื่อประชาสัมพันธ์โรงแรม และกิจการที่พักของครอบครัวทั้ง 2 แห่ง
นับแต่นั้นมาชินจิจึงยิ่งมีเวลาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
เพราะพี่ชายของเขาได้ดูแลกิจการที่โตเกียว ส่วนพี่สาวได้ดูแลโรงแรมที่จังหวัดชิสึโอกะ

(ส่วนไดสุเกะเรียนอยู่ไฮสคูลที่โตเกียวปีสุดท้าย)

จากที่ทราบมาชินจิหมั้นแล้วกับแฟนสาวตั้งแต่ตอนกลับมาจากอเมริกา
แต่เพราะทั้งชินจิและแฟนต่างก็เป็นหนุ่มสาวญี่ปุ่นยุคใหม่จึงยังแค่หมั้นกันไว้
แต่ยังไม่มีกำหนดการแต่งงานที่ชัดเจน

ระหว่างนี้ทั้งชินจิ และคู่หมั้นก็เจอกันบ้าง มีอะไรกันบ้างตามประสาคนสมัยใหม่ทั้งคู่
ที่ไม่คิดว่าต้องเก็บงำความบริสุทธิ์เอาไว้เหมือนประเพณีโบราณ
แต่ก็ยังให้อิสระเสรีกับอีกฝ่าย ในเรื่องการใช้ชีวิตตามเดิมให้คุ้มค่าเสียก่อน

ญี่ปุ่นจะมีความเจริญอั้นดับต้นๆ ของโลก แต่ก็ยังติดที่ค่านิยมบางอย่าง
นั่นคือค่านิยมที่ว่า เมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงจะต้องอยู่บ้านเพื่อทำหน้าที่แม่บ้าน
ทำหน้าที่เลี้ยงลูก ไม่ได้ทำงานถึงแม้จะเรียนมาสูงแค่ไหนก็ตาม

เพราะถ้าผัวคนไหนยอมให้เมียทำงาน สังคมญี่ปุ่นก็จะมองว่าเลี้ยงเมียไม่ได้อาจถูกตำหนิได้
ด้วยค่านิยมแบบนี้บวกกับความเจริญของสังคมเมืองที่คนรุ่นใหม่ในประเทศแต่งงานช้ามาก
จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนประชากรเด็กๆ มากขึ้นทุกปี

ตั้งแต่เขาเรียนจบกลับมาได้เป็นปีชินจิก็ช่วยกิจการของครอบครัว
ชินจิใช้ชีวิตแบบสบายๆ ยังเป็นหนุ่มญี่ปุ่นยุคใหม่ที่รักอิสรเสรีตามสังคมอเมริกาที่เคยไปใช้ชีวิตมา

หลังจากเสร็จงานเขาก็จะกินเที่ยวกับพวกเพื่อนๆ และพอถึงวันหยุดก็จะมีโลกเป็นของตัวเอง
คือออกท่องเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัด แต่ละที่ๆ ชินจิไปเขาก็จะส่งรูปสวยๆ ส่งมาให้ผมดูตลอด

ทุกภาพที่ชินจิส่งรูปมาให้ผมดูผมก็จะชมเขาทุกรูป ด้วยความชอบใจและมีความสุข
หวังว่าซักวันผมจะได้มีโอกาสไปเที่ยว ชินจิรู้ว่าผมอยากไปมากก็จะพิมพ์ตอบผมมาว่า...

“ซักวันวินคุงได้มาแน่ๆ”

ทีแรกผมอ่านสิ่งที่เขาพิมพ์ผมก็แอบหัวเราะในใจเหมือนกัน
เพราะถึงเขาจะชวนผมไปจริงๆผมก็คงไม่มีปัญญาไปแน่ๆ เลยคิดว่าเขาแค่พูดเล่นๆ
จนกระทั่ง!!! วันที่ชินจิชวนผมก็มาถึงจริงๆ!!!

หนำซ้ำเขายังบอกจะออกค่าใช้จ่ายให้ผมทั้งหมดอีกด้วย
อยากบอกว่าผมน่ะดีใจซะยิ่งกว่าถูกหวยซะอีกครับ

เพราะบางทีถึงจะมีเงินแต่ถ้ามาเที่ยวเอง หรือมากับทัวร์ ก็ไม่สู้ให้คนในพื้นที่พาทัวร์หรอกครับ
สบายใจ ไม่ต้องเร่งเรื่องเวลา และเก็บรายละเอียดได้มาก สนุกกว่ากันเยอะ
ที่สำคัญมาแล้วไม่ได้แค่เรื่องเที่ยว เพราะได้เรื่องเซ็กส์กลับไทยไปด้วยนี่แหละที่ผมต้องการที่สุด 555

เมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งเวลา และอายุ ผมจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธการเชิญของชินจิ
และแล้วการเดินทางของผมก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กับเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนนี้......

...........................................................................................

“ประเทศญี่ปุ่น” ผมว่าคงมี เพื่อน พี่ หรือน้องๆ หลายคน มีข้อมูลแน่นกว่าผมซะอีก
เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็มีโอกาสไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

และขอบอกว่าทุกครั้งที่ไปผมก็ใช้เวลาอยู่ที่ญี่ปุ่นแค่สั้นๆ
ส่วนมากก็จะไปเพื่อ กิน เที่ยว แล้วก็ ปี้ กับชินจิโดยเฉพาะนั่นแหละครับ 555

ครั้งแรกที่ไปญี่ปุ่นขอบอกว่าตื่นเต้นมากๆ ทำการบ้านมาเยอะพอสมควร
ภาษาญี่ปุ่นผมก็ได้เรียนในมหาลัยบ้าง และยังหาซื้อหนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่น
ทั้งศึกษา หาข้อมูล มากเป็นพิเศษ

และพอยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้สนุกกับการได้รู้จักโลกที่กว้างมากขึ้น
พอได้ศึกษาก็ยิ่งได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นมีวินัยสูงมากๆ สมกับเป็นประเทศที่เจริญแล้ว

“นิปปง” หรือ “นิฮง” คือคำที่ชาวญี่ปุ่นเรียกตัวเอง
แต่คนไทยเรานิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “ญี่ปุ่น” นั่นแหละครับ
ประเทศญี่ปุ่นเป็นหมู่เกาะ มีเกาะใหญ่ๆ รวม 4 เกาะ คือ

1.เกาะฮอนชู เป็นเกาะที่ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเป็นแนวยาว
เรียงยาวจากแนวเหนือถึงใต้นับพันกิโลเมตร เป็นเกาะที่ตั้งเมืองหลวงอย่างโตเกียว (เอโดะ)
และเมืองใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญอีกหลายเมือง อย่างจังหวัดเคียวโตะ (เกียวโต)
จังหวัดโอซะกะ(โอซาก้า) นะโงะยะ (นาโงย่า) ฮิโระชิมะ (ฮิโรชิม่า)ฯลฯ
และยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟขนาดใหญ่อย่างภูเขาไฟฟูจิยาม่าอีกด้วย

2.เกาะฮอกไกโด เป็นเกาะใหญ่อันดับ 2 ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศ
มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี

3.เกาะคิวชู อยู่ทิศใต้ของประเทศมีเมือง “ฟุกุโอกะ”
ที่เขาบอกว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับต้นๆของโลก

4.เกาะชิโกะกุ เกาะที่เล็กที่สุดในบรรดา 4 เกาะใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานจึงมีทั้งศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงธรรมชาติที่สวยงาม
ในแต่ละปีจึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมากมาย หนึ่งในนั้นก็มีคนไทยรวมอยู่ด้วย

……………………………………………………………………………

วันที่ผมเดินทางไปความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจทำให้ผมมองออกไปนอกเครื่องอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้สิ่งที่เห็นมีแต่เมฆขาวๆ และสีฟ้าของทะเล กับความเขียวของโลกกลมๆ

ตอนนั่งเครื่องรูสึกมีความสุขและสบายไปเสียหมด
จนกระทั่งเครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะ และเมื่อต้องผ่านด่าน ตม.ของประเทศญี่ปุ่น
เท่านั่นแหละครับ! ที่นี้เล่นเอาผมถึงกับใจสั่น!

เพราะถึงจะเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ประถม
ก็ใช่ว่าคนไทยอย่างเราๆ จะได้ใช้กันทุกวันจริงไหมครับ
แถมนี่ยังเป็นการมาประเทศญี่ปุ่นอีก เลยทำเอาผมตื่นเต้นใจสั่นเป็นบ้า

ตอนต่อคิวเพื่อผ่าน ตม. เลยตื่นเต้นมากๆ
จนกระทั่งได้เห็นหน้าหนุ่ม ตม. ญี่ปุ่นเข้านั่นแหละ!
ความตื่นเต้นกังวลของผมก็ถูกทดแทนด้วยความรู้สึกหลงใหลขึ้นมาแทน

หนุ่มญี่ปุ่นคนนี้ขอบอกว่าไม่ได้หล่อนะครับแต่แม่ง โคดๆ จะแมน!
คืออยากบอกว่าชอบผู้ชายคนนี้ชิบหายเลยครับ!

พอเจอหน้าหนุ่ม ตม. โคดแมนเขาก็ทำหน้านิ่งๆ แต่ดูสุภาพ ไม่ดุ
ทีนี้ ตม. โคดแมน เขาก็ถามผมหลายข้อที่ผมมาประเทศญี่ปุ่น

เอาแบบว่าขอรู้ทุกสิ่งอย่างที่คุณจะไปทำในประเทศญี่ปุ่นกันเลยว่างั้น
คำถามหลักๆ ที่โดนถามก็ประมาณ...

“Are you travelling alone?”
(คุณมาคนเดียวหรือ?)

“Where are you from?”
(คุณมาจากไหน?)

“What is the purpose of you visit/travel?”
(จุดประสงค์ของการมาคืออะไร?)

“How long will you stay in the Japan”
(คุณจะอยู่ภายในญี่ปุ่นนานเท่าไหร่?)

“Where are you travelling in Japan?”
(ตอนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นคุณจะเดินทางไปที่ไหนบ้าง?)

“When will you return to your country?”
(คุณจะกลับประเทศคุณเมื่อไหร่)

“Where will you stay while you are here?”
(คุณจะพักที่ไหน)

“How much money do you have with you?”
(คุณมีเงินติดตัวมาเท่าไหร่?)

และก็อีกหลายๆ คำถามที่ทาง ตม.ต้องการรู้

ภาษาอังกฤษตอนนั้นพอกระดิกอยู่บ้างครับเพราะชอบ
แต่ยอมรับว่าแอบสั่นๆ อายๆเขาอยู่เหมือนกัน แต่ก็ผ่านด่าน ตม. ของญี่ปุ่นมาได้โดยสะดวก

พูดคุยกับเขาอยู่พักนึงพอจะต้องจากกันจริงๆ ก็ชักจะไม่อยากจะไปซะแล้วซิครับ
แม่ง! ผู้ชายไรก็ไม่รู้โคดจะแมนได้ใจผมชิบหาย!

โอ้ยๆๆๆ!!! รู้สึกว่าตอนนั้นผมใจละลายไปเลยครับ 5555
เฮ้อ! แต่ถึงไม่อยากจากก็ต้องไปแล้วครับ เพราะตอนนี้คนอื่นก็มารอต่อจากผมแล้ว

........................................................................................

จนกระทั่งผมได้เจอกับ “ชินจิ” ที่รออยู่ทางออก
ความรู้สึกตอนนั้นคือดีใจเหมือนได้เจอกับญาติเลยครับ

ตอนเขาเห็นผมหน้าตาของชินจิดูสดใสพร้อมโบกมือทักทายอย่างสนุกสนาน
อารมร์เหมือนพวกฝรั่งซะมากกว่าญี่ปุ่น คงเพราะเขาไปศึกษาที่อะเมริกา
จึงทำให้รับวัฒนธรรมแบบฝรั่งมาค่อนข้างเยอะ
เพราะเห็นคนญี่ปุ่นทั่วไปเขาจะดูนิ่งๆ ดูสุภาพ เรียบร้อย แม้กระทั่งกับคนในครอบครัว

ชินจิวันนี้เขาดูหล่อ สูงล่ำ และหุ่นดีมากๆ อยู่ในชุดเสื้อกันหนาวเท่ห์ๆ
ไม่ได้พบกันหลายปีเขาดูหล่อดูแมนมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ
คงเพราะด้วยวัย ด้วยการศึกษา และเพราะเขาทำงานแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแอบมีความคึกคะนองตามนิสัยเดิมอยู่บ่อยๆ

ชายหนุ่มที่ผมเคยรู้จักเมื่อหลายปีก่อนตอนนี้ทั้งหล่อทั้งแมนน่าเลียสัด!
เห็นแล้วทำเอาใจคอผมสั่น! ยิ่งมองหน้าเขาผมก็เริ่มออกอาการเขินครับ อิอิ

พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ชินจิก็ยิ้มกว้างๆ ผมยกมือไปเช็คแฮนด์เขาก็จับมือผมอย่างอบอุ่น
แล้วเขาก็กอดผมแน่นๆ ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจ อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

เพราะการที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองถึงครึ่งโลกแบบนี้
และได้รับการกอดจากเพื่อนเจ้าของประเทศที่ไม่ถือตัวซักนิด
ผมว่ามันคือความรู้สึกที่ดีเยี่ยมไปเลยจริงๆ นะ

ถึงเขาจะใส่เสื้อกันหนาวสองชั้นแต่ก็สัมผัสได้ถึงร่างกายของเขาที่อบอุ่นแน่นหนาแข็งแรง
แล้วชินจิก็ทักทายผมเป็นภาษาอังกฤษพร้อมส่งรอยยิ้มที่ทำเอาผมมองตาเคลิ้ม

“Hello Win kung, how are you?”
แต่ผมกลับตอบเขาไปเป็นภาษาญี่ปุ่นแทน

“คอนนิจิวะ”
ชินจิฟังแล้วก็ถึงกับยิ้มร่าสีหน้าของเขาดูแปลกใจที่ผมตอบเขาเป็นญี่ปุ่น

“นี่วินคุงพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยเหรอ!!!”
เขาถามเป็นภาษาอังกฤษหน้าตายิ้มๆ

“โด้โสะ โยะโระชิขุ โอเนะไงชิมัส” (ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ)
ชินจิได้ยินผมพูดภาษาเขาอีกครั้งก็ยิ่งยิ้มร่าอย่างชอบใจแล้วกอดเอวผมแน่นๆ

“นายน่ารักและเก่งมากๆ”
“อะริกาโตะ โกะไซฮิมัส” (ขอบคุณครับ)

ชินจิยิ้มโชว์ฟันขาวสวย พร้อมโยกหัวแมนๆ ตามบุคลิกของหนุ่มๆ ญี่ปุ่น
ยิ่งทำให้ผมหน้าบานไปเลย ก็ก่อนจะมาก็แอบท่องมาเยอะเหมือนกันอย่างที่บอกนี่นา 555

เราพูดคุยทักทายกันไปตามสายสัมพันธ์ที่คบหากันมานานหลายปี
ต่างฝ่ายต่างดูจะคิดถึงกันมากๆ หน้าตาเขาตอนมองผมดูยิ้มๆ เห็นแล้วโคดหล่ออ่ะ

ตอนอยู่ในเทอร์มินอลอากาศก็เย็นๆ นะ แต่คิดว่าเสื้อกันหนาวที่เตรียมมาน่าจะรับไหว
แต่พอออกมาจากเทอร์มินอลเท่านั้นแหละครับโอ้แม่เจ้า!!!

คนขี้หนาวอย่างไอ้วิน หนาวจับขั้วหัวใจไปเลยครับพี่น้อง!
ชินจิเห็นผมร้องบรื๋อๆ ออกมาและกอดตัวเองกลมก็ยิ้มๆ แล้วถอดเสื้อกันหนาวตัวนอกให้ใส่

“วินคุงใส่ไว้นะเดี๋ยวไม่สบาย”
“ผมนึกว่าจะไม่หนาวขนาดนี้ 555”

ผมพูดเหมือนรู้สึกผิด ชินจิก็หัวเราะขำๆ หน้าตาเขาเอ็นดูผมจนผมแสนจะอบอุ่น
แล้วเขาก็พาผมไปหาซื้อเสื้อกันหนาวในสนามบิน เลยได้เสื้อกันหนาวเท่ห์ๆ อุ่นๆ มาตัวนึง

เมื่อร่างกายได้รับความอบอุ่นโดยไม่ไปเบียดเบียนเสื้อกันหนาวของชินจิแล้ว
เราถึงได้เริ่มเดินทางออกจากสนามบินนาริตะซะทีครับ
ชินจิพาผมเดินทางโดนรถไฟชิงคันเซ็งรถไฟความเร็วสูงที่มีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น
ขอบอกว่าสะดวกและมีความไวมากๆ แต่เมื่อเห็นราคาแล้วก็ต้องบอกว่าแพงน่าดู

“จะไปที่ไหนเหรอครับ”
พอได้ที่นั่งสบายๆ ในชิงคันเซ็งแล้วผมก็ถามเขาออกไปแต่ชินจิไม่ตอบ
เขายิ้มๆ ดูกรุ้มกริ่มแล้วพูดว่า...

“วินคุงลองทายดูซิ 555”
“โห!...ญี่ปุ่นกว้างใหญ่มากๆ ผมทายไม่ถูกหรอก”
ผมตอบเขาไป ชินจิก็หัวเราะขำๆ ที่เห็นผมทำหน้าอายๆ

“คิดซะว่าผมถามเรื่องเมืองใดเมืองหนึ่งก็แล้วกัน...ผมให้วินคุงตอบ 3 ครั้ง
...ถ้าทายไม่ถูกจะต้องโดนทำโทษโอเคไหม?”

เขาพูดยิ้มๆ อย่างคึกคะนองดูสดใสน่ารักเหมือนยังมีความสดใสแบบวัยรุ่นอยู่บ้าง
เขาพูดซะขนาดนี้ ถ้าผมไม่เล่นกับเขาด้วยคงทำให้เขาเสียความรู้สึกแน่ๆ

“ชิสึโอกะ”

ผมตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่ารถไฟสายนี้จะพาไปที่ไหน
เพราะตอนเดินเข้ามาผมก็เอาแต่พูดคุยกับเขาด้วยอาการตื่นเต้น เลยลืมสังเกตุสิ่งต่างๆ รอบตัวไป

เท่าที่จำได้ผมรู้แต่ว่าครอบครัวของชินจิมีโรงแรมเล็กๆ อยู่ที่จังหวัดนี้
ก็เลยตอบไปงั้นๆ แหละ แต่ดันตอบถูกซะงั้น

วินคุงเก่งมากๆ ...ใช่ครับเราจะไปจังหวัดชิสุโอกะกัน...go!!! ไปกันเลย!!!”

เขาพูดจนผมรู้สึกหมือนกับว่าผมเก่งนักหนา แล้วกอดคอผมอย่างไม่อายผู้คนที่มองมา
ผมมองรอยยิ้มของเขาแล้วก็แทบใจละลายครับ ชินจิเป็นผู้ชายที่หล่อ แมนๆ สะอาด ง
ความมีเสน่ห์ของเขานั้นทำเอาผมมองเพลิน

อยากบอกว่า ทั้งหุ่น ทั้งหน้าตา และบุคลิกของชินจิ
มันทำเอาผมรู้สึกมีความต้องการขึ้นมาแล้วซะแล้วสิครับตอนนี้! 555

แต่เพราะพึ่งจะกลับมาเจอกันผมเลยต้องพยายามเก็บกดความรู้สึกที่ต้องการเอาไว้ก่อน
เจอกันปุ้บแล้วแสดงอาการร่านๆ ใส่ชินจิ เดี๋ยวหนุ่มญี่ปุ่นเขาจะตกใจเอา
รอตอนที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองซะก่อนเหอะ!!! จะจับรีดน้ำให้หมดแรงเลยคอยดู! 555

ยิ่งคุยกับชินจิผมก็ยิ่งมีความสุขจนหน้าตายิ้มแย้มเบิกบานอยู่ตลอด
ผมว่าคงเพราะการที่ผมได้มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นตามที่ตั้งใจไว้มานาน
ได้มาเห็นบ้านเมืองที่สวยงามด้วยธรรมชาติวัฒนธรรมที่สวยงามแปลกตา
อากาศที่หนาวเย็นแสนสบาย

และที่สำคัญคือได้มาอยู่กับหนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อที่เคยได้กันเมื่อหลายปีก่อน
ความสุข ความตื่นเต้น ความประทับใจ ณ ขณะนั้น มันจึงดูมากมายจนล้นปรี่!
ตอนนั้นใจผมไม่อยากกลับประเทศไทยซะแล้วสิครับ 555

ทุกครั้งที่พูดคุยกันผมชอบตอนที่ชินจิพูดไปแล้วโยกคอนิดๆ
ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะแบบหนุ่มญี่ปุ่นที่ผมรู้สึกว่ามันดูโคดแมน โคดเท่ห์
เห็นทีไรก็ดูน่ามองชิบหาย

ภาษาอังกฤษที่เขาพูดก็เป็นสำเนียงแบบอเมริกาที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย
ไม่เหมือนสำเนียงคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษ ที่ส่วนใหญ่จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

ยิ่งได้พูดคุย ได้ถามไถ่สารทุกข์กันไป ทำให้ผมยิ่งปลื้มชินจิสุดๆ! ไปเลยครับ
จนบางทีผมก็มองหน้าเขานิ่งๆ นานๆ แล้วก็เผลอยิ้มๆ ด้วยความเผลอตัว
ทีแรกชินจิเห็นก็แค่ยิ้ม แต่พอผมจ้องนานเข้า เขาก็ถามและทำหน้ายิ้ม

“หน้าผมมีอะไรติดรึป่าวเนี่ย...วินคุงถึงได้มองจัง”
เขาถามหน้าตายิ้มๆ แบบรู้ทันผม โอ้ย! แมนโคดๆ เลยครับ
ผมแทบจะทนเสน่ห์หนุ่มญี่ปุ่นไม่ไหวแล้วเนี่ย

“ชินจิคักโคอี้ (ชินจิหล่อ,เท่ห์)”
เขาได้ยินเขาก็หัวเราะขำๆ

“5555...อะริกาโต๊ะ” (ขอบคุณ)
เขาขอบคุณหน้าตายิ้มๆ

นาทีนั้น ผมรู้สึกว่าชินจิเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์แห่งความเป็นชายมากๆ
มากกว่าตอนทีเขาเป็นวัยรุ่นซะอีกครับ เขาทั้งหล่อทั้งสดใส ความเป็นกันเองมากๆ จริงๆ

ระหว่างที่รถไฟชิงคันเซ็งเดินทางไปจังหวัดชิสึโอกะ
บางทีเขาก็จะแอบกอดไหล่ผมบ้าง ผมนั้นรู้สึกโคดจะดีเลยครับ
ยอมรับว่าหลงหนุ่มญี่ปุ่นขึ้นมาอย่างมากมายจริงๆ ครับตอนนี้

เรายังคงนั่ง ทักทาย ถามไถ่ พูดคุยกันไป อย่างสดใสกันทั้งคู่
เพราะจะว่าไปผมกับชินจิก็มีนิสัยคล้ายๆ กันคือชอบเที่ยว ชอบเดินทาง

จนกระทั่งภาพแห่งความสวยงามของภูเขาไฟฟูจิ
เริ่มเปิดเผยแก่สายตาให้ผมได้เห็นใกล้ขึ้นๆๆ!!!

นาทีนั้นภาพภูเขาไฟฟูจิที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ทำให้หัวใจผมถึงกับพองโตเพราะความสวยงาม!
ในตอนนี้ภาพแห่งความสวยงามตรงหน้าทำให้ผมคิดถึงภาพที่เคยเห็นแค่ในทีวี และรูปถ่าย
ความสายงามของจริงที่ผมได้มาเห็นกับตาตัวเองในเวลานี้ มันคือ สุโค่ยมากๆ!!!

“สุโค่ยยย!!!(สุดยอด!!!)...โห!...ภูเขาไฟฟูจิซังสวยจริงๆ ครับ!”
ผมพูดออกมาแถมหน้าเกือบจะแนบไปกับกระจกจนชินชิหัวเราะอย่างชอบใจ

“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอวินคุง 555
ผมก็หันไปตอบเขาหน้าตายิ้มๆ ปลื้มปริ่มกับสิ่งที่ได้เห็นมากๆ จนผมขอบคุณเขาอีกครั้ง

“อะริกาโตะ โกะไซฮิมัส””(ขอบคุณมากครับ)
"ยินดีครับ...อยากชวนวินคุงมาเที่ยวตั้งนานแล้วแต่ไม่พร้อมซะที"

จนกระทั่งรถไฟผ่านเข้าสู่เขตเมืองชิสึโอกะสายตาผมก็เริ่มเห็นดอกซากุระบานทีละต้นสองต้น

"นั่นๆๆ ซากุระใช่ไหมครับ!"
นี่ขนาดนานๆ เจอซักต้นยังสวยขนาดนี้ชินจิก็ยิ้มดีใจที่เห็นผมตื่นเต้นดีอกดีใจ

แล้วชินจิก็บอกว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกซากุระเริ่มบานแล้ว
และจังหวัดชิสึโอกะก็เป็นจังหวัดแรกที่ซากุระจะบานก่อนเมืองอื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่น

"สุโค่ยยย!!!" (สุดยอด!!!)

.............................................................................................

จังหวัดชิซูโอะกะ (ชิสึโอกะ) อยู่กึ่งกลางระหว่างมหานครโตเกียว(เมืองหลวงปัจจุบัน)
กับ จังหวัดเคียวโตะ หรือเกียวโต (เมืองหลวงเก่า)

ในสมัยโบราณเมืองนี้เป็นเส้นทางผ่านระหว่างสองเมือง เกียวโต กับ โตเกียว
สองเมืองที่มีความสำคัญที่สุด เกียวโต เป็นเมืองหลวงที่อยู่ของพระจักรพรรดิ
ส่วนโตเกียว (เอโดะ) คือเมืองที่รัฐบาลโชกุนปกครองในระบอบรัฐบาลทหาร
โดยอำนาจการปกครองอยู่ที่โชกุนทั้งหมด แล้วค่อยกระจายไปสู่ ไดเมียว (เจ้าเมือง) ต่างๆ

เมื่อรัฐลาลของโชกุนหมดอำนาจลง พระจักรพรรดิจึงทรงย้ายจากเคียวโตะมาอยู่ที่โตเกียว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโตเกียวจึงเป็นเมืองหลวงของประเทศอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุที่ว่ามานี้จังหวัดชิสึโอกะจึงมีความสำคัญคือเป็นจุดหยุดพักระหว่างทางนั่นเอง
นอกจากนี้เมืองนี้ยังเป็นบ้านเกิดของ “โชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะสุ” โชกุนคนแรกของตระกูลโทกุงะวะ

ชิสึโอกะมีความโดดเด่นหลายอย่าง ซึ่งถ้าบอกคนไทยอย่างเราๆ ก็พอจะเข้าใจและรับรู้ได้ง่าย...

-จังหวัดนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ, ฟูจิซัง ,ฟูจิยาม่า ที่มีความสูงเกือบ 4,000 เมตร
ด้วยความสูงและใหญ่โตมโหราฬนี้ จึงทำให้ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของตัวจังหวัด
ก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังอยู่ทุกมุมก็ว่าได้

-เป็นจังหวัดที่มีน้ำพุร้อนออนเซน Onsen มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

-เป็นจังหวัดนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่มากมาย
เพราะมีสภาพอากาศที่ดีมากๆ ไม่ร้อนจนเกินไป ไม่หนาวจนเกินไป
จึงทำให้เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศ และแต่ละฤดูก็จะสวยแตกต่างกันไป
แถมยังอยู่ไม่ไกลจากมหานครโตเกียว จึงสามารถนั่งรถไฟมาเที่ยวหรือขับรถมาเที่ยวได้อย่างสะดวก

-มีปราสาทโบราณหลายแห่ง เช่น ปราสาทคาเกะคาวะ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของประเทศ
และ ปราสาทซัมปุ (ปราสาทของตระกูลโชกุนโทะกุงะวะ ,โทกุกาว่า)

-มีวัดศาสนาพุทธดังๆ หลายแห่ง

-มีไร่ชานิฮนไดระ ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการปลูกชาเขียวที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
และดังมาจนถึงประเทศไทย เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกชามากที่สุดในประเทศ

-มีศาลเจ้าหลายแห่งที่มีชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์และสวยงามที่มีอายุนับ 1,000 ปี

-นอกจากนี้สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบ ก็คือเมืองนี้เป็นบ้านเกิดของท่าน “ยามาดะ นางามาซะ”
หรือ “ออกญาเสนาภิมุข” ข้าราชการทหารชั้นสูงชาวญี่ปุ่นที่ไปรับราชการที่ “กรุงศรีอยุธยา”
ในสมัยของ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” นั่นเองครับ ซึ่งที่เมืองนี้ก็จะมีรูปปั้นของท่านให้ได้เห็นด้วย

-แต่ที่สมัยใหม่ขึ้นหน่อยก็เป็นบ้านเกิดของ "มารูโกะจัง" การ์ตูนดังที่คนไทยหลายคนรู้จักนั่นเองครับ

ที่ว่ามาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นนะครับ เพราะจังหวัดนี้ถึงชื่อจะไม่ดังเหมือนอีกหลายๆ เมือง
แต่ก็มีที่เที่ยวเยอะมากๆ และนี่แค่จังหวัดเดียวยังมีที่เที่ยวเยอะขนาดนี้
แต่ถ้าต้องการเที่ยวให้ทั่วญี่ปุ่นผมว่าคงต้องใช้เวลากันเป็นปีแน่ๆ

ที่เที่ยวอื่นสำหรับผมนั้นก็ว่าน่าประทับใจแล้วนะ
ตลอดทางที่รถไฟวิ่งผ่านสายตาผมก็ได้เห็นสีชมพูสว่างสดใสของดอกซากุระ
ที่กำลังเบ่งจะบานตามทางเข้าเมืองทอดยาวไปตามท้องถนนและริมแม่น้ำ

“สุโค่ย!!!”(สุดยอด!!!)

ผมร้องบอกชินจิด้วยความตื่นเต้นชินจิเห็นก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่านี่แค่เล็กน้อย
แต่พอเข้าไปในเขตเมืองก็จะเห็นความสวยงามของดอกซากุระที่กำลังบานเป็นสีชมพูเต็มเมือง

ผมฟังแล้วก็ตื่นเต้นหนักเข้าไปอีกเท่าที่เห็นก็ว่าสุดยอดแล้วจริงๆ นะครับ
เพราะซากุระที่กำลังเบ่งบานตามริมถนนช่วยเสริมให้เมืองนี้ดูมีชีวิตชีวามีทิวทัศน์สวยงาม

ยิ่งพอตัดกับภูเขาไฟฟูจิที่เบื้องหน้าที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนี้ภาพบนยอดเขาที่ขาวปุย
ตัดกับสีเขียวของภูเขาและพื้นล่างที่มีดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่งนั้นคือที่สุดจริงๆ ครับ

ชินจิบอกว่า ที่เมืองอิซุ จังหวัดชิสึโอกะ จะขึ้นชื่อเรื่องการไปชมดอกซากุระ
หรือเทศกาล “ฮานามิ” ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปนั่งชมซากุระกันนั่นแหละครับ

เพราะที่นั่นจะมีดอกซากุระ มากถึง 8,000 กว่าต้น ที่รอคอยนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวชม
เพราะมีต้นซากุระมากมายขนาดนั้น และเมืองนี้ซากุระจะบานก่อนที่อื่นในประเทศ
จึงทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ของทุกปีที่จะมาเที่ยวชม

กลางวันได้ชมซากุระสีชมพูเบ่งบานสวยๆ แล้วก็จะมีพ่อค้าแม่ค้านำของมาขายมากมาย
พอตอนกลางคืนก็จะมีการชมซากุระในตอนกลางคืนอีกโห!น่าตื่นเต้นไหมล่ะท่าน

ผมฟังหนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อเล่าแล้วก็ตื่นเต้นจนอยากรีบไปเห็นกับตาในทันที

“ไปกันเลยได้ไหมครับ!!!”
“เข้าห้องพักก่อนเถอะเอาไว้ตอนค่ำๆ ผมจะพาวินคุงไปดู...รับรองวินคุงต้องชอบแน่ๆ”

เขาบอกแล้วพาผมไปที่รถที่เขาจอดไว้
ทีนี้พอมีรถยนต์เลยยิ่งโคดสะดวก นั่งไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ชินจิขับไปชิลๆ
เขาก็พาเราขับขึ้นไปแถบภูเขา ตลอดทางก็สวยงามไปด้วยดอกซากุระสวยงาม

คืนนี้ชินจิพาผมพักที่เมืองนี้เพื่อให้ผมได้ชมดอกซากุระจนหนำใจ
เนื่องจากช่วงนี้มีเทศกาลฮานามิ(ชมดอกซากุระ) จึงทำให้ที่พักเต็มเกือบหมด
แต่มากับเจ้าของพื้นที่แบบนี้ผมสบายใจครับมีทั้งที่พัก ที่ทั้งที่เที่ยว

ที่พักที่ชินจิจองไว้อยู่แถบภูเขา ได้เห็นวิวภูเขาฟูจิยาม่า และทิวทัศน์ของดอกซากุระ
ที่ออกดอกสีชมพูสวยงามจับใจทำให้ผมมีความสุขจนลืมทุกอย่างไปเลยครับ

ที่พักของเขาสวยงาม สะอาด น่าพักผ่อนมากๆ ครับ
โรงแรมแห่งนี้เป็นอาคารชั้นเดียวทั้งหมด เหมือนเป็นบ้านญี่ปุ่นสมัยโบราณ ที่ดูคลาสสิคมากๆ
แต่ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสวยงามอาคารแต่ละหลังแยกกันอย่างชัดเจน

ทุกมุมในโรงแรมมีสระน้ำ สวนหย่อมเล็กๆ ประประดับด้วยต้นบอนไซสวยงาม
มีลานหินดูสะอาดตา ทุกอย่างเห็นแล้วให้อารมณ์ของความร่มรื่นแฝงนัยยะบางอย่าง
ที่พักผ่อนกับธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างดีตาม “วิถีแบบเซน” นั่นเองครับ

ห้องที่เราพักอยู่บนเชิงเขาที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามน่าประทับใจ
พอเดินเข้าห้องไปก็มีออนเซ็นส่วนตัวเล็กๆ อีกตะหาก

โห!...อะไรจะสุดยอดขนาดนี้เนี่ย!!!

ผมเดินดูห้องพัก ดูดิมีอ่างน้ำออนเซ็น ดูวิวทิวทัศน์ด้วยความเพลินใจไป
ชินจิก็พูดคุยกับผมไป และเริ่มถอดเสื้อผ้าออกเพื่ออาบน้ำ

“ชอบไหมวินคุง”
“ชอบมากๆ เลยครับ อาริกาโตะนะครับ”

ชินจิเห็นผมพอใจก็ยิ้มๆ จนถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่เสื้อในตัวเดียว
แล้วก็เข้าห้องน้ำเพื่อบ้วนปากอันเป็นนิสัยของคนญี่ปุ่นที่รักความสะอาด
ที่กลับมาจากข้างนอกสิ่งที่ต้องทำเป็นนิสัยคือการบ้วนปากฆ่าเชื้อโรค

ผมเห็นเขาออกมาจากห้องน้ำก็ขอเข้าไปล้างปากกลั้วคอตามเขา
ชินจิก็สอนว่าต้องทำแบบไหนๆ คือกลั้วคอสองครั้งครั้งที่ 1 กลั้วด้วยน้ำยาบ้วนปากธรรมดา
แต่ยังมีกลั้วคอรอบที่ 2 ด้วยครับ ตามด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ!

โว้วๆๆๆ!!! คนญี่ปุ่นนี่เขารักความสะอาดสุดยอดไปเลยครับ!
พอกลั้วคอ ล้างปากเสร็จ ก็เล่นเอาแสบปากแสบคอไปเลย
แต่เอาเถอะครับเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

จนผมออกมาจากห้องน้ำในห้องไม่เห็นชินจิ
ผมก็เดินตามจนออกมาเจอเขาที่นอนแช่น้ำร้อนแบบผ่อนคลายสุดๆ!

ไอน้ำร้อนเป็นควันอ่อนๆ ลอยคลุ้ง มีชายหนุ่มสุดหล่อเปลือยกายล่อนจ้อนนอนแช่อยู่ในอ่าง
ขอบอกว่าได้สร้างความตะลึงให้กับผมได้มากมายหลือเกิน!

น้ำอุ่นที่มีไอน้ำอุ่นๆพุ่งขึ้นฉุยๆ มีร่างกายชายหนุ่มดูแข็งแรง มีเสน่ห์ชวนหลงใหล
ผิวกายขาวของชินจิเนียนสะอาดน่ากอด น่าเลีย น่าซบ และสัมผัสสุดๆ

ถึงแม้จะไม่เห็นควยของเขาแต่ภาพแค่นี้ก็ทำให้ผมร่านจนควยแข็งโป๊ก!
เขาวางหัวแบบสบายๆ บนขอบอ่าง ส่วนร่างกายท่อนล่างเปลือยเปล่ามีไอน้ำร้อนปิดบังไว้
ชายหนุ่มผู้เป็นลูกหลานซามูไรชาตินักรบอวดความหล่อล่อลวงสายตาผมจนเกิดความต้องการขั้นสุด!
ความมีเสน์ของเขาทำเอาผมปากคอสั่นสุดๆ

ผมยืนจ้องมองเขาอยู่นานจนชินชิรู้สึกได้ว่ามีคนมายืนมอง
เขาก็หันมายิ้มให้ผมด้วยสายตายิ้มยั่วๆ

“วินคุง...ถ้านายจะมองขนาดนั้นก็ลงมาแช่ออนเซ็นด้วยกันสิ”
ผมได้ยินเขาอนุญาตแบบนั้น เชื้อเชิญอย่างนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วจุ่มเท้าลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว

เมื่อร่างกายได้รับความร้อนความอุ่นจากน้ำผมก็เหมือนถูกปลุกพลังทางเพศให้ตื่นจนยากจะควบคุมได้อีกต่อไป
เมื่อผมเข้าไปกอดร่างกายแน่นหนาแข็งแรงผิวกายที่ขาวเนียนสะอาดสะอ้านของชินจิ
เขาเองก็กอดรัดร่างกายผมแน่นๆ เราสองคนจูบปากกันอย่างเร่าร้อน! ซู่ซ่า!

หลังจากที่ไม่ได้สัมผัสความหอมหวานของเรียวปากของเขามานาน
บัดนี้ผมเหมือนเสือที่กำลังกระโดดเข้าขย้ำกวางหนุ่มสุดงาม
มือผมล้วงลงต่ำไปที่หว่างขาของเขา ควยหนุ่มญี่ปุ่นแข็งตั้งเด่! แข็งจัดเต็มมือ!
ด้วยขนาดที่ผมไม่เคยลืม 7.6 นิ้ว! ครับ ทั้งใหญ่ทั้งอวบหนา ทำเอาผมเสียวซ่านร่านสุดๆ ในตอนนี้!

ปากของชินจิยิ่งดูดยิ่งเร่าร้อนสร้างอารมณ์ทางเพศให้ผมเสียวสุขจนร้องครางกระสันต์
จนกระทั่งที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นเสือและเขาเป็นกวางนั้น ผมกลายเป็นฝ่ายที่คิดผิด!
เมื่อชินจิผลักผมลงด้านล่างแล้วประกบร่างกายแน่นหนาสูงใหญ่กอดรัดจูบไซ้ผมจนร้องครางด้วยความเสียว!

"อา!!!...ซี้ดดดด!!!...อูยยย!!!...จ๊วบๆๆ!!!"
"ฮึ่มมม!!!"
ทั้งผมและเขาต่างก็ครางออกมาที่ลำคออย่างเสียซ่าน
ร่างกายของเขากับผมในน้ำอุ่นๆ กอดรัดกันอย่างได้อารมณ์สุดๆ!!!

นับเป็นะประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้มาเย็ดกับผู้ชายในออนเซ็นต์แบบนี้
มันคือความ "สุโค่ย!" จริงๆ ครับ

ด้วยความหนาวเย็นของอากาศภายนอกแต่มีหรือจะสู้ความร้อนจากพวกเราสองคน
เพราะตอนนี้ความเย็นถูกความเสียว ความเงี่ยน
กลบจนพวกเราไม่รู้สึกได้ถึงความเย็นของอากาศภายนอกอีกต่อไป!!!