วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรื่องเซ็กส์ของเด็กร่าน บทที่ 59 ไอ้อี้อินเลิฟ (1)

พักนี้ผมรู้สึกว่าไอ้อี้มันอารมณ์ดีเป็นพิเศษคงเพราะมันกำลังอินเลิฟอยู่มั๊งครับ
ใคร? ... และถ้าทำได้ คงมีใครหลายๆคนอยากจะถามออกมาดังๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?
สาวเจ้าที่ว่าคนนี้ก็เรียนอยู่คณะเดียวกันกับมันนั่นแหละครับ
ชื่อ“ป็อบ”หน้าตาสวย น่ารัก เอวบางร่างน้อย สเป็คของไอ้อี้มันเลยก็ว่าได้
แถมนิสัยก็ดีพูดจาอ่อนหวานแบบฉบับสาวเหนือ
และจากที่ดูนามสกุลน่าจะมีเชื้อสายซะด้วยสิ
ที่สำคัญยังอู้คำเมืองได้เพราะขนาดคำก็ “เจ้า” สองคำ ก็ “เจ้า”
เจออย่างนี้เข้าไอ้อี้ซี้ผมเลยหลงหัวปักหัวปำแบบไม่ต้องมียาแฝกเข้าช่วย
และแทบทุกวันมันก็จะพูดถึงแต่สาวเจ้าให้ผมฟังอยู่ไม่ได้ขาดปาก
ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้  จนบางทีผมก็ขี้เกียจฟังเลยพยายามทำหูทวนลมซะเลย
“สาดวินมึงรู้ป่าวว่าวันนี้น้องป็อบ มาเชียร์กูที่สนามฟุตบอลด้วยนะโว้ยพวกผู้ชายในสนามแม่งมองตามกันใหญ่”
“เหรอวะ ดีใจอ่ะดิสาด”
“ก็แน่เซะมีแฟนสวยน่ารักออกขนาดนี้เป็นใครจะไม่ดีใจ”
“แต่กูว่าแฟนมึงออกจะติดเพื่อนเกินไปหน่อยนะโว้ยขนาดมาหามึงยังพกเพื่อนมด้วยเลยชื่ออะไรนะ แหม่มๆ มอๆ อะไรนี่แหละ”
“อ้อๆๆเพื่อนน้องป็อบเขาชื่อ เม โว้ย เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ม.4 เหมือนกูกับมึงเลย เอหรือว่ากูจะเป็นพ่อสื่อให้มึงดีวะสาดจะว่าไปกูว่าก็เหมาะกับมึงดีเหมือนกันนะโว้ย ผู้หญิงดูลุยๆ ส่วนผู้ชายก็ดูติ๋มๆท่าจะเข้ากันได้ดี 5555”
“พอเลยมึงๆไม่ต้องมาจับคู่ให้กูเลย เอาตัวมึงให้รอดก่อนเหอะน่าผู้หญิงท่าทางเหมือนทอมอย่างนั้นขืนกูได้เป็นแฟน กูก็เป็นช้างเท้าหลังกันพอดี”
ผมรีบปัดมันไปด้วยความรู้สึกขนลุกไม่ใช่ว่ารังเกียจนะครับ
แต่มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ
เพราะทุกทีที่เจอกันผมก็จะเกิดอาการอย่างว่าเสียทุกที
ก็อย่างที่ไอ้อี้ว่านั่นแหละยังกะทอมบอย แม้จะพยายามทำตัวให้เป็นหญิงยังงัยก็เหอะ
เพราะว่าเธอดูแข็งๆทั้งแววตาและบุคลิก
“แต่บ้านน้องเมรวยนะโว้ยสาดได้ยินว่าพ่อเขามีไร่สตอเบอรี่ด้วยนะมึง”
“พอเลยมึงยังไงกูก็ไม่สนโว้ย!”
ผมรำคาญจนตบหัวมันหนึ่งป้าบ! แต่ไอ้อี้ปากดีมันก็ยังไม่วายค้อนผมต่อ
“เออๆๆ ไม่สนก็ไม่สนกูรึก็หวังดีหาหญิงดีๆ รวยๆ ให้ก็ไม่เอา เห็นว่าเป็นคนเมืองด้วยกันหรอกว้าจะได้คุยกันง่ายหน่อย”
มันก็พูดบ่นไปตามประสาคนปากมากอย่างมันอ่ะครับ
จะอินเลิฟก็อินไปคนเดียวดิสาดไม่ต้องมาลากากูไปมีเอี่ยวกะมึง
ผมด่ามันในใจด้วยความรำคาญ
จะว่าไปพอมาคิดๆดู ก็รู้สึกว่าความรักของมันออกจะก่อตัวเร็วเกินไปจนน่าแปลก
ที่รู้สึกอย่างนั้นก็เพราะว่ามันเพิ่งจะรู้จักน้องป็อบได้แค่เดือนกว่าๆเท่านั้นเอง
แล้วไหงปุปปับมาเป็นแฟนกันได้ไวขนาดนี้วะ
เพราะตามนิสัยไอ้ตัวดีมันคบกับใครได้ไวและเคลมไวจริง
แต่เท่าที่ดูในลิสท์ก็ไม่เคยมีใครได้ชื่อว่าเป็นแฟนมันซักกะคนเดียว
เป็นได้มากสุดก็แค่“เพื่อนหญิง” เท่านั้น
แต่นี่เวลาไม่นานเท่าไหร่น้องป็อบคนนี้กลับทำให้ไอ้อี้เพื่อนผมเปลี่ยนไป
ใช้คำว่า“แฟน”ได้ง่ายดายจนผมก็แปลกใจโคดๆ แล้วก็เลยอดเป็นห่วงมันไม่ได้
กลัวว่าเกิดว่ามันไม่ใช่ขึ้นมาคนที่เล่นกับความรักเป็นเรื่องล้อเล่นอย่างมันต้องเจ็บมากกว่าใครแน่ๆ
ในตอนแรกผมก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกันนะที่ไอ้อี้มันดันมีแฟนเป็นตัวเป็นตน
ผมเลยรู้สึกเหมือนโดนทิ้งยังงัยยังงั้นเอ๊ะๆๆๆ ยังยัยซะแว้ว! 5555
ก็แหมเรียนด้วยกันมาแต่ครั้งม.4 ตั้งแต่ตอนโน้นก็ไม่เคยห่างกันซักที
มีเรื่องอะไรก็ได้รู้จากปากมันก่อนใครเพื่อนเพราะอย่างที่บอกผมกับมันซี้กันกว่าเพื่อนคนไหนๆ
แต่พอมันมีแฟนเป็นตัวๆแบบนี้เข้า ก็ทำให้รู้สึกว่าเหมือนมีเส้นอะใยบางๆ ซักอย่าง
มากั้นเราเอาไว้ทำให้ไม่เหมือนเก่า ใจมันก็เลยหวิวๆ วาบๆ อยู่ลึกๆ
ยิ่งตอนที่มันเล่าเรื่องน้องป็อบ แฟนมันให้ผมฟังทีไรผมก็จะรู้สึกแปลกๆ เสียทุกทีไป
“หรือว่ากูหวงมันวะ” ผมถามตัวเองในใจ
มาตรองๆดู คงเป็นเพราะผมมันคนที่ชอบยึดติดกับอดีตที่ดีและประทับใจมั๊ง
เลยทำให้ลืมเรื่องราวที่ประทับใจแต่เก่าก่อนได้ยาก
แต่ก่อนเป็นยังงัยก็อยากให้เป็นอย่างนั้นตลอดไปไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง
แต่ลืมนึกไปว่าชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะจิตไม่มีอะไรที่ยั่งยืนจีรัง
ก็ดูอย่างผมสิเมื่อวานยังเป็นแค่เด็ก ม.ปลาย ที่การเรียนก็งั้นๆ
แต่วันนี้ได้เรียนมหาลัยฯอย่างที่เด็กวัยรุ่นหลายๆ คนวาดหวัง
นี่ก็มาจากความไม่จีรังของชีวิตอีกเช่นกัน
แต่ที่ผมรู้สึกหวิวๆแบบนี้ก็คงเพราะ พอมันมีแฟนก็จะให้ความสำคัญกับแฟนมันก่อนผม
เลยทำให้รู้สึกว่าเหมือนผมโดนทิ้งขึ้นมาซะเฉยๆ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายอะไร แค่พูดเรื่องแฟนให้ผมฟังบ่อยและถี่ขึ้นก็เท่านั้นเอง
จนตอนนี้ผมก็อดอิจฉาสาวเจ้าไม่ได้ที่ได้เดินควงกับไอ้อี้ไปไหนมาไหนอย่างออกหน้าออกตา ดูแล้วก็ช่างสมกันยังกะกิ่งทองใบหยกหนุ่มก็หล่อเลิศ สาวก็สวยอ้อนแอ้นน่ารัก
ใครเห็นก็อดชมออกมาจากปากไม่ได้
ก็ไอ้อี้ซี้ผมน่ะแม่งน่าเคี้ยวซะขนาดนั้นขนาดผมอยู่ห้องเดียวกันกับมันยังต้องข่มใจแล้วข่มใจอีกมาเป็นครั้งที่ร้อยแล้วลองไม่ข่มใจดิ ป่านนี้ได้มันเป็นผัวไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ 5555
(หรือจะเสียเพื่อนไปเลยก็ไม่รู้นะมึง)
แต่อย่างที่บอกตั้งแต่ทีแรกอ่ะนะว่าผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันออกจะไวไปซักนิด
แต่แล้ววันนึงไอ้ตัวดีก็เมาแอ๋กลับมาด้วยสภาพโดนเพื่อนๆ มันหามปีกซ้าย ขวา
คอพับคออ่อนอาการร่อแร่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว
เห็นแล้วหมดสภาพไอ้ปากดีหน้าหล่อเลยครับ
“ช่วยดูไอ้อี้ด้วยนะโว้ยพอดีมันเมาหนักไปหน่อยว่ะ”
ไอ้จอมเพื่อนใหม่ของไอ้อี้พอเจอหน้าผมก็ฝากผลักภาระให้เลยครับ
“อ้าว! แล้วเป็นยังงัยมายังงัยล่ะเนี่ยถึงได้เมาเละซะขนาดนี้”
ปากผมถามพลางเปิดประตูให้ไอ้จอมกับไอ้โหน่งแบกไอ้อี้เข้ามา
จริงๆก็รู้อยู่หรอกว่าวันนี้มันไปกินเลี้ยงงานวันเกิดของน้องป็อบแฟนมัน
แต่คนอย่างมันก็ไม่น่าจะกินเหล้าจนเมามายเสียเครดิตต่อหน้าสาวๆ ขนาดนี้
เพื่อนสองคนของมันวางไอ้อี้ลงที่เตียง ก็อธิบายเรื่องราวให้ผมฟัง
“พอดีมันมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยน่ะ…”
สองคนนี้มาเล่นที่ห้องของเราเป็นประจำ และเป็นคนต่างจังหวัดที่เอ็นท์ติดที่นี่เหมือนกับเรา  ไอ้จอมเป็นหนุ่มอิสานหน้าคมจาก ขอนแก่น
ส่วนไอ้โหน่งเป็นคนสระบุรี
มันสองคนรูปร่างดีทั้งคู่ ดีไม่ดีไม่รู้ล่ะแต่แค่ตอนเห็นพวกมันครั้งแรก
ผมก็อยากงาบพวกมันแล้วอ่ะครับ555
พอสองหนุ่มวางร่างที่เมาไม่ได้สติของไอ้อี้ลงที่นอนมันปุ๊บ
มันก็โก่งคออ๊วกแตกพุ่งจ๊าก! จนเต็มห้อง กลิ่นชวนพะอืดพะอมโชยไปทั่วห้อง
“สาดเอ๊ย! แดกเหล้าประสาอะไรวะ”
ผมบ่นด้วยความรำคาญที่มันไปให้เหล้าแดกไม่ได้ไปแดกเหล้า
“แล้วมันมีเรื่องอะไรของมันที่คณะมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นมันบ่นให้ฟังซักที”
ผมถามด้วยความสงสัยเพราะไอ้นี่ลองถ้ามันไม่ชอบอะไรหรือชอบอะไรเป็นไม่มีปิดบัง
หรือแม้กระทั่งจะปิดยังปิดไม่มิดเลยครับเพราะปากมันก็รู้ๆ กันอยู่
ว่าปากยื่นปากยาวแค่ไหนฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน ผมรู้เกี่ยวกับมันหมดนั่นแหละ
“คือว่า...มันอกหักน่ะ”
จอมพูดแบบไม่เต็มปากซักเท่าไหร่หน้าตาทั้งคู่ตอนพูดก็พิกล ดูเลิ่กๆ ลั่กๆ
จะเศร้าไม่เศร้าจะขำก็ไม่ขำ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
ประมาณว่ามีลับลมคมในอ่ะครับ
ผมเห็นสีหน้าพวกมันแล้วกก็ยิ่งสงสัยกันไปใหญ่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะ
“ตกลงพวกมึงจะเล่าให้กูมั๊ยเนี่ย”
พอสองหนุ่มหน้าคมได้ยินผมพูดอย่างนั้นก็มองหน้ากันเหมือนจะตกลงใจอะไรบางอย่าง
“เออๆๆ บอกก็ได้ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้...................”
พอไอ้จอมเล่าจบผมก็ถึงกับอึ้ง! ไปพักใหญ่เหมือนกันครับ
เพราะไม่คิดว่าไอ้อี้จะเจอตอ! เข้าอีกแล้ว
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าจริงๆ แล้วแฟนมันกับน้องเมน่ะทั้งคู่เป็นแฟนกันน่ะสิครับ
เพราะสองคนนี้เป็นเบี้ยนกันครับและคบกันมาตั้งแต่ ตอนเรียน ม.ปลายแล้ว
จนเข้าเรียนมหาลัยนี่แหละด้วยพฤติกรรมของสองคนที่ดูเทคแคร์กันดีเกินเพื่อน
คนเขาถึงได้เริ่มซุบซิบกันหนาหูมากขึ้นทุกวัน
และน้องเมน่ะก็จะออกอาการหึงหวงน้องป็อบอย่างเห็นได้ชัด
แต่คนเรามักจะทำอะไรไปโดยพลการเมื่อจนตรอก
เมื่อน้องป็อบเองก็ต้องหาผู้ชายที่ดูแมนๆมาเป็นโล่บังเพื่อบังหน้า
เล่าไปก็เหมือนเรื่องโกหกแต่ไม่คิดว่าในชีวิตจะเจอเหตุการณ์ยังกะละครแบบนี้
เพราะประจวบเหมาะกับที่ไอ้อี้มันปิ๊งๆน้องป็อบเข้าพอดี เรื่องราวก็เลยเข้าล็อก!
และทำให้คำนินทาว่าสาวเจ้านิยม“ดนตรีไทย”หายไปโดยปริยาย
แต่ความลับไม่มีในโลกนี่ครับที่พอดีไอ้อี้ซี้ผมมันดันไปเห็นฉากสวีท
การจูบปากกันจ๊วบๆของสองสาวเพื่อนซี้เข้าอย่างจัง!
เล่นเอาไอ้อี้ปรี้ดแตกเกือบจะต่อยทอมก็หนนั้น แต่...มันก็ไม่ทำ
เพราะผมรู้นิสัยไอ้อี้ดีว่ามันเป็นสุภาพบุรุษมากแค่ไหนเรื่องที่ทำให้มันเสียเครดิต
ถูกมองในทางลบยังงัยมันก็ไม่ทำหรอกครับ
แล้วมันก็ทิ้งสองสาวผู้นิยมดนตรีไทยไว้ข้างหลัง
พร้อมกับสีหน้าที่ดูตกใจสุดขีดของสองสาว
แล้วมันก็ขับมอไซค์ซิ่งไปหาเจ้าสองตัวนี่แล้วชวนกันไปกินเหล้าเพื่อปรับทุกข์ต่อ
เหตุผลที่มันไม่กล้าเล่าให้ผมฟังเป็นคนแรกเพราะมันมาบอกทีหลังว่า
“มันอาย” ครับ
ผมได้ยินแล้วก็ทั้งโกรธทั้งน้อยใจเลยครับแต่ตอนนั้นเพื่อนมันกำลังมีปัญหาเลยไม่อยากตตอกย้ำซ้ำเติม ทำให้มันเสียใจเข้าไปอีก
ผมนั่งฟังสองหนุ่มเพื่อนซี้อของไอ้อี้เล่าไปมือก็เช็ดคราบอ๊วกตามตัวมันไป
ด้วยความรู้สึกที่เห็นใจสุดๆอ่ะครับไม่คิดว่าเพื่อนผมที่เป็นผู้เลือกมาโดยตลอดจะตกเป็นผู้ถูกเลือกและผู้ถูกกระทำก็คราวนี้
พอไอ้สองคนกลับไปผมก็นั่งมองหน้ามันด้วยความสงสาร
หน้าหล่อๆในวันนี้ดูซีดๆ เซียวๆ สำรอกของเก่าออกมาซะจนหมดท้อง
“ทำกับเขามาเยอะ ในที่สุดก็โดนกับเขามั่งนะมึง”
ผมพูดด้วยความรู้สึกสมเพชในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไอ้อี้สุดๆ
คืนนั้นเลยอยู่ดูแลมันทั้งคืนพอเช้ามามันก็ดันเป็นไข้ไปซะอีก
คงเพราะสภาพจิตใจกำลังย่ำแย่ร่างกายก็เลยพลอยแย่ตามไปด้วย
“ไปเรียนไหวไหมสาดกูจะได้บอกให้พวกไอ้จอมลาให้”
“ไม่ว่ะ กูอยากนอน”
มันพูดสั้นๆตาลอยๆ เห็นสภาพแล้วน่าสงสาร ผมเลยลงไปหาซื้อข้าวต้มกับพารามาให้มันกิน พอกลับมามันก็ยังนอนอยู่ในท่าเดิมเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจ
“กูซื้อข้าวต้มมาให้กินซะนะ แล้วกินยาด้วยนะเมิง”
“อือ”
มันตอบสั้นๆเบาๆ ซึ่งไม่ใช่นิสัยมันเอาซะเลย ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่สิ้นหวัง
และท้อแท้ในชีวิตที่เพื่อนผมกำลังได้รับ พอรับรู้ได้ดังนั้นก็อดน้ำตาซึมๆ ออกมาไม่ได้
แต่ไม่ยอมให้มันได้เห็นหรอกครับ  เพราะตอนนี้ไอ้อี้มันต้องการคนที่ดูแลมันไม่ใช่จมไป
กับมันแม่สองสาวนั่นจะรู้ไหมว่าทำกับไอ้อี้ไว้แสบสันต์แค่ไหน
ทั้งที่ใจก็อยากจะปลอบมันแต่ก็พูดออกมาจากปากอย่างที่ต้องการไม่ๆได้
ทันใดสมองผมก็คิดถึงไอ้ถึกเข้มกับเพื่อนคนอื่นๆ ขึ้นมาได้
เลยรีบโทรไปหาไอ้ถึกเข้มทันที
“จริงดิสาดวิน กูฟังแล้วไม่อยากเชื่อเลยว่ะซวยจริงๆ เลยไอ้ห่าอี้ ...เอางี้วันนี้เดี๋ยวกูจะรีบไปหาพวกมึง”
พอไอ้เข้มรู้เรื่องมันก็รีบบึ่งจากนอกเมืองเข้ามาหาพวกเราในเมืองทันที
แล้วหลังจากนั้นผมก็โทรไปหาเพื่อนคนอื่นๆจนครบตัว
“จริงเหรอวะมึง โห...กูฟังเรื่องที่มึงเล่าแล้วน้ำเน่าโคดๆว่ะสาด ไม่อยากเชื่อว่าไอ้อี้จะเจอดีเข้าแบบนี้ ยังงัยซะมึงอยู่กับมันก็ช่วยดูๆมันแทนพวกกูด้วยนะโว้ย เสาร์อาทิตย์นี้ถ้ากูไปหาได้กูจะไป”
ไอ้ซันพูดผ่านสายมาด้วยความเป็นห่วงพอๆกับคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไรกูก็แค่โทรมาเล่าให้มึงฟังเท่านั้นแหละ เพราะตอนนี้กูก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน”
“กูเข้าใจถ้ากูเป็นมึงไม่แน่ กูก็อาจจะเป็นเหมือนมึงก็ได้”
ไอ้ซันพูดให้กำลังใจผมซึ่งนี่คือตัวตนของมันจริงๆ ที่ไม่เคยเหยียบย่ำเพื่อนเวลาเข้าตาจน
แต่สิ่งที่จะได้จากมันก็คือการให้คำแนะนำดีๆและกำลังใจ
ส่วนไอ้เหมพอได้ฟังก็อึ้ง! ไปเลยเหมือนกันครับ
“ทีแรกกูเห็นข้อความของมึงกูก็นึกว่ามึงล้อกูเล่นๆ ก็ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริง แม่งหน้าหม้ออย่างไอ้อี้ยังโดนดีเข้าจนได้ไงมึงก็ช่วยดูๆ ช่วยปลอบใจมันอย่าให้คิดมากแล้วกัน เป็นงัยล่ะ อยากดอดไปเรียนไกลโขซะขนาดนั้นพวกกูคงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก”
ไอ้เหมพูดสายตรงมาจากมหาสารคามหลังจากที่ได้รับข้อความจากผม
“เออ...กูก็แค่โทรมาบอกพวกมึงเท่านั้นแหละ”
“เออๆช่วยดูมันไปแล้วกัน แล้วเดี๋ยวกูจะโทรหามันเองบอกให้มันรับโทรศัพท์กูด้วยล่ะไม่รับตาย!”
แน้! ยังมาเล่นมุขอีกนะมึง สาดนี่ 5555
แต่ฟังจากน้ำเสียงของเพื่อนทุกคนก็ดูจะห่วงใยไอ้อี้กันถ้วนหน้าอ่ะครับ
พอตอนสายๆไอ้ถึกเข้มก็มาถึงผมเลยได้คนช่วยดูแลมัน
“แล้ววันนี้มึงไม่ไปเรียนเหรอวะสาดวิน”
ไอ้ถึกเข้มถามผมด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นผมแต่งตัวไปเรียนทั้งๆ ที่สายขนาดนี้
“ไม่เป็นไรกูเองก็ห่วงมัน”
“ตามใจมึง”

พอไอ้อี้เห็นไอ้เหมมาก็ดูหน้าตายิ้มๆ ขึ้นมาบ้างแต่พักเดียวมันก็เซื่องซึมไปอีก
ผมก็ลืมนึกไปว่าไอ้ถึกเข้มมันไม่ใช่คนพูดเก่งยิ่งตอนนี้ไอ้อี้อยู่ในสภาพไม่พร้อมสนทนากับใครแบบนี้เลยช่วยได้ไม่มากอย่างที่ผมตั้งใจ
“น่าสงสารมันว่ะ”
ตอนเราออกมาหาซื้อของนอกหอ ผมก็พูดขึ้นมาด้วยความสงสารไอ้อี้สุดใจ
ตัวโย่งๆถึกๆ ของมันพอเดินคู่ไปกับผมเหมือนมวยคนละไซส์เลยครับ
“พวกเราก็ได้แค่ช่วยดูแลมันไปจนกว่ามันจะดีขึ้น”
“ก็คงทำได้แค่นั้น”
ผมตอบสั้นๆแต่แค่ได้เล่าให้มันฟังระบายเรื่องราวที่ไม่สบายใจให้มันฟัง
ผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเพื่อนที่รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนได้ดีมากๆ คนนึง
พอวันต่อมามันก็กลับไปเรียนก่อนจากกันมันก็ฝากฝังผมให้ดูแลไอ้อี้
“มึงอยู่กับมันก็ช่วยดูๆ มันนะ เพื่อนกันกูเองก็ติดเรียนไม่งั้นคงอยู่กับพวกมึงนานๆ”
“อือ...ถ้ามึงว่างก็เข้ามาหาพวกกูเรื่อยๆ”
“ได้ๆแล้วกูจะมาหาบ่อยๆ”
พอผมส่งไอ้ถึกเข้มขึ้นรถได้ผมก็เหมือนกับอยู่ลำพังคนเดียวเลยครับตอนนี้ โหวงๆ เหวงๆ ยังงัยพิกลอดนึกถึงหน้าไอ้ตี๋แฟนผมไม่ได้ อย่างน้อยอ้นน่าจะแนะนำอะไรผมได้ดีกว่านี้แน่ๆแต่มันเป็นเรื่องของไอ้อี้เลยไม่อยากเอาไปกวนใจไอ้ตี๋มันเพราะลำพังเรื่องทางบ้านอ้นที่กว่าจะจบได้ก็เกือบแย่
ก็พอดีเจอไอ้นิวขับมอไซค์ผ่านมาทางนี้พอดี
“อ้าว! ไอ่วิน มึงหายไปไหนมาแม่วานก่อบ่ไปเรียน อาจารย์เปิ้นก็ถามหา”
“พอดีกูมีเรื่องน้อยนึงก่ะ”
แล้วผมก็เล่าเรื่องที่กำลังไม่สบายใจให้มันฟังพอมันฟังก็รู้สึกเห็นใจผมเอามากๆ
“โห! ซวยขนาด ถ้าเป๋นกูหนา กูคงต่อยกับทอมให้ตายกันไปข้างก่อคราวนี้ล่ะก่ะ”
ผมฟังไอ้นิวมันพูดแล้วก็ถึงกับอ้าปากค้างเลยครับ
เพราะไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาแรงๆตรงๆ อย่างที่ใจผมคิดอย่างนี้
แต่มาคิดดูอีกทีก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักหรอกเพราะนิสัยของมันก็พิกลอยู่แล้ว
คือมันเป็นคนที่บางครั้งก็ไม่สนใจระเบียบสังคมเท่าไหร่ ถ้าเห็นว่าไม่ชอบ ไม่โดน
และไม่ถูกใจล่ะก็เพื่อนแบบนี้นี่แหละที่ผมต้องการในเวลาแบบนี้ 5555
“ก๋านตี้เฮาเห็นอกเห็นใจ๋เปื้อนจะอี้มันก่อดี...แต่ก่อบ่ควรหื้อเสียก๋านเฮียนตัวเองจะอั้นความหวังดีของมึงจะกลายเป็นโทษฮู้ก่อ”
“กูก่อฮู้แต่กูก่อทิ้งมันไว้คนเดียวบ่ได้”
“โอ้ย! มันออกจะตัวโตขนาดนั้น มันคงบ่คิดสั้นฆ่าตัวตายง่ายๆ หรอก อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้”
ผมได้รับแง่คิดจากไอ้นิวก็เริ่มคิดได้เลยรีบแต่งตัวไปเรียนโดยได้มันมารอรับหน้าหอ
พอผมเลิกเรียนก็รีบกลับมาดูแลไอ้อี้มันจนกระทั่งมันเริ่มดีขึ้นและไปเรียนได้เหมือนเดิม
หลายวันมานี้อาการไอ้อี้ดีขึ้นมาก ระหว่างที่ผมคอยดูแลมัน
ผมก็จะพยายามชวนมันคุยตลอด
เพื่อให้มันไม่คิดมากและนี่ก็เป็นกลยุทธในการสร้างกำลังใจให้มันอีกทางหนึ่งด้วย
ที่สำคัญผมก็พยายามบอกให้มันคิดถึงแต่สิ่งที่ดีๆ  เข้าไว้
ให้คิดถึงพ่อ- แม่ แบะบรรดาเพื่อนๆ ที่รักมัน คิดถึงเรื่องดีๆที่เราเคยพบเจอ
“คนเราเจอเรื่องร้ายแค่หนเดียวจะทิ้งสิ่งดีๆ ทั้งชีวิตก็โง่แล้ว”
มันได้ยินก็มองหน้าผมแล้วยิ้มๆพร้อมกับพูดสั้นๆ ว่า
“ขอบใจว่ะ”
ผมก็ยิ้มๆพร้อมตบหัวมันแปะๆ เพื่อให้กำลังใจ
วันนี้ก็กินข้าวได้มากกว่าสองวันก่อนซะอีก
และที่สำคัญเริ่มพูดมากขึ้นเกือบใกล้จะเป็นไอ้อี้คนเดิมแระ
“เออกินได้เยอะๆแบบนี้กูก็ค่อยเบาใจขึ้นมาหน่อย”
“ทำมายเบื่อดูแลกูแล้วเซะ”
มันเงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าว
“เออซิวะ  โตยังกะควายแล้วยังให้กูมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่อีก”
พูดเสร็จผมก็เม้มปากยิ้มๆแบบจะแกล้งมันอ่ะครับ
“ปากดีนักนะมึง เออยังไม่ถึงทีมึงก็แล้วไป แต่อย่าให้โดนบ้างก็แล้วกัน”
มันพูดเหมือนน้อยใจอ่ะครับแต่ต่อปากต่อคำได้แบบนี้ก็แสดงว่าดีขึ้นมาก
อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่าหมาที่อยู่ในปากมันไม่ได้หนีไปเที่ยวเล่นไหนหมด5555
“โห! กลัวตายแหละสาด ถึงตอนนั้นถึงมึงไม่ดูกูกูก็จะตามไปให้มึงดูแลอยู่ดีนั่นแหละ อิอิอิอิ”
มันก็ได้แต่กัดฟันทำหน้าอาฆาตผมไปแหละครับเห็นแล้วตลกชิบ
ตอนที่มันจะเป็นจะตายน่ะใจผมล่ะไม่สบายใจเอาซะเลยแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย
“พรุ่งนี้กูจะเจอใครได้วะเนี่ย”
แป็บเดียวมันก็ทำหน้าละห้อยเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเองอีกแล้วครับ
แตกต่างจากไอ้อี้คนเดิมมากๆเพราะไอ้อี้คนก่อนทั้งสดใส มั่นใจเกินร้อย
ประมาณว่าเจอนักเลงเป็นสิบมันยังยิ้มสู้ได้สบายว่างั้น
เฮ้อพอเจอเหตุการณ์หลงรักดี้เข้าแค่นี้เพื่อนผมเลยเหมือนด๊องๆ ไปเลยอ่ะ
“สู้ๆ สิวะมึงไม่ได้ผิด แมนๆ เข้าไว้! เดี๋ยวก็ดีเองกูว่าผู้หญิงอีกเยอะที่อยากได้มึงเป็นแฟน”
ผมตบไหล่แน่นๆของมันแปะๆ เพื่อให้กำลังใจมัน และคำพูดผมก็หมายความตามนั้นจริงๆ ซะด้วยสิ
ก็มันออกจะหล่อหุ่นดีนิสัยก็ โอเค อ่ะนะ แม้จะปากหมาไปหน่อย
แต่ถ้าผมเป็นหญิงผมก็ยอมให้มันเย็ดฟรีๆเลยอ่ะ 5555
“จริงดิสาด”
มันถามผมเหมือนคนขาดความมั่นใจแต่พอมีผมคอยให้กำลังใจแบบนี้
เหมือนคนที่เริ่มฟื้นไข้ความมั่นใจกำลังจะกลับมาเรื่อยๆ
“เชื่อกูคนอยากได้มึงมีอีกเยอะ สนแม่งทำมัยวะแค่ผู้หญิงคนเดียว”
ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆจนไอ้อี้ฮึดสู้ตามไปด้วย
“กูเชื่อมึง!”
แล้วมันก็ดึงมือผมไปกำไว้พยักหน้าหงึกๆ หน้าตาดูมั่นใจขึ้นเยอะ
นี่แหละที่ผมต้องการคนเราล้มแล้วต้องลุกให้ได้ ไม่ใช่จมแล้วอมทุกข์อยู่ร่ำไป
“ขอบใจว่ะเพื่อน”
แล้วผมกโดนมันดึงเข้าไปกอดซะแน่นเลยครับแอ่กๆๆ กูหายใจไม่ออก 5555
พอโดนมันกอดครั้งนี้ความรู้สึกของผมก็แปลกๆ อ่ะ
เพราะมันรู้สึกดีมากกว่าทุกครั้งที่ได้กอดมันก็ว่าได้แล้วผมก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“ดีจัง” ผมคิดในใจ
“วันนี้ตอนเย็นๆเราไปขับรถเล่นกันดีกว่าว่ะ เอางี้เราขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพกัน
จะได้รู้สึกสบายใจ แล้วตอนขาลงค่อยมาเล่นน้ำตกที่ห้วยแก้วกัน ตอนเย็นๆบรรยากาศดีโคดๆ เลยนะโว้ยขอบอก”
ผมชวนมันหวังจะให้มันได้พบเจอแต่สิ่งที่สบายใจ
“เออ ตามใจมึง”
และพอตอนเย็นๆผมกับมันก็ซ้อนมอไซค์ขับตะลอนขึ้นไปบนดอยสุเทพกัน
หนทางก็ค่อนข้างคดเคี้ยวและสูงชัน
ไม่อยากเชื่อว่าคนสมัยก่อนเขาจะมีความอุตสาหะขึ้นมาจนถึงบนดอยสุเทพได้
ทั้งๆตอนนี้ขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่ก็ต้องขับอย่างระมัดระวังน่าดู
นี่ก็เพราะความมุ่งมั่นของคนเราแท้ๆช่างน่าชื่นชมจริงๆ
“แม่งโคดชันว่ะนี่ถ้ากูเอาคันเก่าที่บ้านมาเป็นได้ตกเหวตาย”
ไอ้อี้บ่นของมันไป
“อย่าบ่นมากดิสาดห่าเอ๊ยแมนป่าววะ กลัวความสูง ไม่เห็นเหมือนกูชอบเล่นของสูง5555”
“เออก็มึงมันหน้าตะลอนนี่หว่า สบโอกาสไปเที่ยวได้ เป็นไปหมด”
“ก็เมืองไทยมีอะไรให้ดูอีกเยอะแยะนี่หว่าถ้าคนไทยไม่เที่ยวเมืองไทยแล้วจะให้ใครเที่ยวสาด”
“โอ้ย! พูดกับมึงแล้วก็ปวดหัว เออๆๆๆมึงชนะก็ได้สาด”
ผมก็หัวเราะชอบใจที่เถียงจนมันจนมุมได้
ตอนเราไปถึงพระธาตุผู้คนกำลังเยอะเลยครับเพราะเดือนนี้อากาศกำลังสบาย
เป็นช่วงปลายฝนอากาศเลยไม่ร้อนมาก แต่ถึงจะร้อนแค่ไหนพอขึ้นมาถึงยอดดอยได้
ก็ต้องหนาวอ่ะครับเพราะป่าไม้บนดอยหนาแน่นจนเย็นยะเยือกซอกซอนเข้าผิวหนัง
ยิ่งพวกเราใส่แต่เสื้อนักศึกษามาด้วยโคด-ตะ-ระ เย็นเลยครับ 
ก่อนหน้านี้ไอ้ดอมญาติผมจะพามาเที่ยวแล้วครั้งนึงแต่ดันติดธุระ(เสียวๆ)กัน
เลยมาไม่ได้อย่างใจนึกไม่คิดว่าการมาไหว้ดอยสุเทพครั้งที่สองของผมจะได้มากับไอ้อี้
แต่ก็ดีครับได้ทั้งขึ้นทั้งล่องประการแรกได้มาเที่ยว และไหว้พระธาตุดอยสุเทพ
ประการที่สองการที่ได้ชวนมันออกมาชมโลกภายนอกแบบนี้
น่าจะทำให้ไอ้อี้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
พอไปถึงบันไดนาคความรู้สึกเดิมๆเมื่อครั้งวัยเด็กก็แว่บเข้ามาให้สมองทันทีเลยครับ
ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงสงกรานต์หรือทางเมืองเหนือเรียกว่า “ปี๋ใหม่เมือง”
พวกเรามากันหลายคนทั้งพ่อ แม่ น้าแก้ว น้าเขย พี่นิล พี่เขย และครอบครัวไอ้ดอม
มากันเกือบยี่สิบเห็นจะได้บรรยากาศเลยโคดคึกครื้นอ่ะ
เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กๆกันทั้งนั้น เลยเหมือนจับปูใส่กระด้ง
โดนเอ็ดโดนดุกันไม่หยุดปากก็ฮาๆ ดีครับ
มาหนนี้ผมก็โตจนเข้ามหาลัยแล้วพร้อมกับความรู้สึกที่ต่างออกไป
แล้วตอนนี้ญาติๆผมหายไปไหนกันหมดแล้วเนี่ย
นี่แหละชีวิต...ไม่เคยมีความจีรังยั่งยืนหรอกวันนี้เราอยู่กันพร้อมหน้า
พรุ่งนี้เราจะได้อยู่กับใครยังไม่รู้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น