วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 12 ปรองดองสองพี่น้องร่วมสาบาน

หลายวันต่อมา ไอ้แก้วและเมืองแมนยังคงติดตามกันเหมือนเงาตามตัวที่ไม่ยอมห่างแม้สักวินาที
สมกับที่รอคอยมานานที่จะได้เจอกันอีก ทหารหนุ่มหากไม่มีราชการก็จะติดตามหมาดเล็กหลวงรูปงามไม่ห่างตา
ส่วนมหาดเล็กหนุ่มก็ปรนนิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างดีที่สุดอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด อยากกินอะไร อยากได้สิ่งไหน
ก็จะหามาให้แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงไอ้แก้วก็ไม่เคยอิดออดเกี่ยงงอน หากเมืองแมนต้องการ...

วันที่ไอ้แก้วพาเมืองแมนมาที่คุ้มเจ้านาย ทั้งเมืองแมน และจะขื่อจึงได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
เพราะจากการอยู่ร่วมกันมานานเกือบ 2 ปี แม้เด็กหนุ่มจะไม่เคยปฏิเสธมันในเรื่องกามรมณ์
หากมันมีความต้องการเด็กหนุ่มก็จะโอนอ่อนตามทุกครั้ง และมันเองก็พึงใจเช่นนั้น
มีความสุขทุกทีที่ได้ร่วมสังวาสกับเด็กหนุ่มผู้งามด้วยรูปกาย

ถึงอย่างนั้นสิ่งหนึ่งที่พรานหนุ่มรับรู้มาโดยตลอด ว่าสิ่งที่ไม่เคยได้รับจากเด็กหนุ่ม นั่นก็คือ “ความรัก”!!!
เพราะหลายต่อหลายครั้งจะขื่อจะเห็นไอ้แก้วชอบนั่งเหม่อลอย มองขอบฟ้าด้วยสีหน้าเซื่องซึมเซา
หลายครั้งน้ำตาเด็กหนุ่มก็จะไหลพอพรานหนุ่มถามไอ้แก้วก็หันมายิ้มให้แล้วบอกว่า

บ่มีอ่ะหยังดอกอ้ายจะขื่อ... ฝุ่นมันเข้าตาข้าเท่านั้นเอง”

มันไม่รู้ว่าไอ้แก้วมอบใจให้ใครก็จริงแต่การมีอยู่ของชายผู้นั้นต้องเป็นคนที่ไอ้แก้วรักจริงและได้มอบใจให้แน่นอน...
เมื่อคราแรกที่พรานหนุ่มได้เห็นนายทหารนาม "เมืองแมน” จากแววตา
และสีหน้าของไอ้แก้วที่ดูเปรมปรีดิ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันก็รับรู้ได้ดีในวันนั้น
ว่าทหารกล้านนาผู้นี้แน่แล้ว... ที่เด็กหนุ่มนั้นเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน...

เมื่อความรู้สึกนี้แล่นปราดเข้าสู่ห้วงดวงใจ!!! พรานหนุ่มก็ถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
จึงเลี่ยงหลบออกจากเวียง มุ่งเดินทางเข้าดอย เข้าป่า ไม่ยอมพบหน้าใคร
ไอ้แก้วออกติดตามหาไปทั่วเวียงแต่ก็หาได้เห็นพรานหนุ่มอีกเลย จนไอ้แก้วอดเป็นห่วงชู้รัก ผู้มีบุญคุณท่วมหัวขึ้นมาจับใจ

น้องดูจะเป็นห่วงพรานผู้นั้นมากนัก”
อ้ายจะขื่อเคยช่วยชีวิตข้าไว้... ข้าบ่อาจลืมบุญคุณในครั้งนั้นได้”

เหตุการณ์ที่ไอ้แก้วได้รับการช่วยเหลือจากจะขื่อจากเสือสมิงตลอดจนการอยู่ร่วมกันมาเกือบสองปี
จึงได้รับการถ่ายทอดให้เมืองแมนได้รับรู้ ทหารเอกแห่งนพบุรีฯ ได้ฟังทีแรกก็ถึงกับรู้สึกลำคอขมจนยากจะกลืนน้ำลาย
หน้าหมองลงทันที ไอ้แก้วเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปกอดทหารหนุ่มไว้แน่น
หน้าซบกับไหล่กว้างขวางสองแขนกอดกวัดรอบกายแกร่งของเมืองแมนไว้

อ้ายเมืองเฮยยย... อ้ายจะขื่อนั้นเป็นผู้มีคุณต่อข้าเหลือล้นบ่แพ้ท่าน...
หากบ่มีอ้ายจะขื่อข้าก็คงตายด้วยคมเขี้ยวเสือสมิงในครั้งนั้นแน่แล้ว...
ข้าฮู้ว่าตัวข้านั้นเลวนักที่บ่อาจเลือกไผได้... แต่อยากให้อ้ายฮู้ว่าใจ๋ของข้านั้นฮักอ้ายเหนือกว่าผู้ใด”

ทหารหนุ่มลูบศรีษะคนที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างเอ็นดู แม้จะรู้สึกระทมทุกข์อยู่บ้าง
แต่มันก็ดีใจที่ไอ้แก้วได้มอบความรักให้มันเป็นที่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้เดียวอย่างที่มันหมายใจก็ตามที
ในขณะที่จะขื่อถึงจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับไอ้แก้วอยู่ทุกวัน แต่ไอ้แก้วก็ไม่เคยลืมความรักของทหารอย่างมันได้ซักวันเดียว

ทหารหนุ่มจึงรู้สึกเห็นใจพรานป่าผู้นั้น แทนที่จะโกรธหรือเกลียดชัง...
จึงได้ชักชวนพันเฮืองทหารเอกแห่งเวียงเขลางค์นครที่มาราชการในครั้งนี้ด้วยกัน เพื่อช่วยออกตามหาพรานหนุ่มที่ลี้หน้า

สองทหารเอกแห่งล้านนาผู้อยู่ใต้บัญชาของเจ้าหมื่นแห่งเขลางค์นครติดตามหาพรานหนุ่มอยู่หลายวัน
จนได้รับเบาะแสจากชาวบ้านป่าแถบเชิงดอยหลวงนันทบุรีว่าพบเห็นพรานป่าออกล่าสัตว์อยู่แถบดอยสูง อันมีหมอกหนา ภูผาสลับสล้าง
และดารดาษไปด้วยดอกไม้ป่าอันงดงาม สัตว์ป่าน้อยใหญ่มากหลายชุกชุม ราวกับป่าหิมพานต์

ตอนที่เมืองแมนไปเจอจะขื่อที่เชิงดอยอันมีชื่อนั้น พรานป่าดูซูบผอมมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวคนละคนจากวันที่เมืองแมนได้พบ
อาการอย่างนี้ คืออาการ "ตรอมใจ" ซึ่งเมืองแมนเองก็เคยประสบมาก่อนในตอนที่โดนจับเข้าตรุ(คุก)กลางเวียงนพบุรีศรีนครพิงค์ในคราวริก่อการกบฏ!

หลังจากถูกจับเข้าตรุ ความห่วงอาลัยในสวัสดิภาพของครอบครัว อันมีแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เจ้าหมื่นอันเป็นเจ้านาย
แลผู้ที่มันห่วงที่สุด ก็คือ “ไอ้แก้ว” มหาดเล็กหลวงผู้มีรูปกายงามน่าหลงไหล ที่มันทั้งรักและอาลัยยิ่ง

เมื่อเจอหน้าพรานหนุ่ม เมืองแมนจึงคุกเข่าลงต่อหน้า จนพรานป่า และพันเฮืองทหารเอกคู่ใจ
ถึงกับตกใจ!!! มองด้วยความแปลกใจในอาการของทหารกล้าผู้ไม่เคยก้มหัวให้ศัตรู อย่าว่าแต่พรานป่าผู้ไร้สกุลอย่างจะขื่อ

นั่น!!!... ท่านมาคุกเข่าให้ข้ายะหยัง... ลุกขึ้นเต๊อะ ท่านเป็นทหารเอกยศสูง... เป็นเจ้าเป็นนาย... ข้ารับบ่ไหวดอก”
บุญคุณที่เอ็งได้ช่วยไอ้แก้วน้องเอ่อ... น้องจายข้า... ข้าบ่อาจลืมเลือนเพราะมันได้เล่าเรื่องที่เอ็งได้ช่วยมันไว้จากเสือสมิงให้ข้าฟังหมดสิ้นแล้ว”

เมืองแมนอ้ำอึ้งนิดหน่อย เพราะมีพันเฮืองทหารใต้สังกัดเดียวกันติดตามมาด้วย จึงไม่สะดวกปากที่จะเอ่ยตรงๆ
แต่จะขื่อก็พอทราบว่าที่อีกฝ่ายพูดถึง “น้องจาย” นั่นคงหมายถึง “คนรัก” ของมันมากกว่า
พรานหนุ่มรูปหล่อจึงพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนทั้งสองยิ้มให้กันด้วยมิตรจิตรมิตรใจ

ท่านโปรดลุกขึ้นเต๊อะ... ข้าเองก็ขอบในน้ำใจ๋ของท่านนักที่บ่เคืองข้า”
ข้าบ่มีสิทธิ์เคืองเอ็งดอก... แต่ตอนนี้ข้าอยากให้เอ็งรู้ไว้... ว่าไอ้แก้วเป็นห่วงเอ็งยิ่งนักแต่ติดด้วยภารกิจต้องดูแลเจ้านาย
ข้าจึงอาสาออกตามหาเอ็ง”

พรานหนุ่มเหมือนขอบตาจะร้อนผ่าว อย่างน้อยๆ ไอ้แก้วมันก็มีน้ำใจเป็นห่วงมันด้วยความจริงใจแค่นี้มันก็ตื้นตันใจเหลือหลายแล้ว

เมืองแมนเห็นคนตรงหน้าแม้เป็นพรานป่า ภายใต้ความขมุกขมอมกลับมีองคาพยพที่หล่อเหลา
และรูปกายสูงใหญ่แกร่งงาม ท่วงท่าน่าชมโดดเด่นเกินคนป่า ถ้าแม้นอาบน้ำชำระกายดีๆ ผิวพรรณที่ขาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะยิ่งน่าชวนพิศ
อย่างวันแรกที่เจอกัน จึงนึกนิยมขึ้นมากว่าเก่า ตอนที่ไอ้แก้วได้เล่าเรื่องพรานป่าให้มันฟัง

เห็นพรานป่าคนนี้ดูหล่อเหลาเยี่ยงนี้ในใจก็อดกังวลแทนคนรักว่าจะมีใจปันให้จะขื่อรูปหล่อผู้นี้ยิ่ง
แต่ความคิดก็เกิดแค่เพียงแว่บเดียวเท่านั้น จึงสลัดความคิดนี้ออกจากหัว
เพราะมันเชื่อในคำของคนรักของมันที่ว่ามันคือที่ 1 ในใจของเด็กหนุ่ม

ปีนี้เอ็งอายุต้อใด... เกิดปีอะหยัง(อะไร)”
ทหารหนุ่มถามพรานหนุ่มด้วยหวังจะนับอาวุโสหากแม้นพรานป่าแก่กว่าแม้เพียงวัน มันก็จะนับเป็นพี่สืบไป

ปีนี้ข้าอายุซาวเจ็ดปี๋(27ปี) เกิดปีเหม้า(กระต่าย) เดือน 3 (คือเดือนธันวาคม)”
ฮ้า!!!...ช่างประจวบแต๊ๆ ปีนี้ข้าเองก็อายุซาวเจ็ดปี๋นี้(27) ข้าก็เกิดปีเหม้า(กระต่าย)แต่ข้าเกิดเดือนยี่(เหนือ)” (คือเดือนพฤศจิกายน)
เมืองแมนมีอาการยินดียิ่งนัก

ต่อไปเฮาจะเป็นพี่น้องกันดีก่อต่อไป... ให้เฮาเป็นอ้าย... ส่วนเอ็งเป็นน้องจายดีก่อ”
ถ้าท่านบ่รังเกียจคนป่าเยี่ยงข้า... ข้าก็ดีใจ๋ขนาดที่ได้ทหารกล้าเยี่ยงท่านมาเป็นปี้จาย”

ดีๆๆ ดีแต๊ๆ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนักๆ ที่เวียงนี้มีพระบรมธาตุเจ้าประจำปีเกิดปีเหม้า(ปีกระต่าย)
เฮาสองจะได้ไปไหว้สาและสาบานเป็นปี้น้องกั๋น เอ็งว่าดีก่อ”

เมืองแมนหัวเราะเสียงดังฟังองอาจอย่างดีใจเหลือล้นจะขื่อก็พยักหน้ารับยิ้มอย่างยินดี

ดีใจตวยเน้อ... ที่เอ็งได้น้องจายเพิ่มขึ้นอีกแหม”
พันเฮืองพูดออกมาได้จังหวะพอดีทั้งสามก็หัวเราะร่าอย่างมีความสุข ความสดใสกลับมาสู่ทหารเอกแห่งล้านนา และพรานป่าผู้ไกลบ้าน...

........................................................................................

เมื่อกลับไปถึงเวียงนันทบุรีในตอนเช้าตรู่ ไอ้แก้วเห็นถึงกับน้ำตาไหลอย่างดีใจสุดแสน
เมื่อเห็นจะขื่อกลับมาพร้อมเมืองแมนชายทั้งสองคนนึงก็รัก อีกคนก็บุญคุณล้นพ้น!!!
ยิ่งได้เห็นสารูปที่ผ่ายผอมของพรานหนุ่มที่เคยหล่อเหลารูปกายแกร่งงาม กลับดูขะมุกขะมอมด้วยฝุ่น และเหงื่อใคล
อีกทั้งผมเผ้าที่เกล้าไว้ก็หลุดลุ่ย ชวนเวทนายิ่งนัก ไอ้แก้วก็เข้าไปกอดชู้รักอย่างเศร้าใจ

อ้ายไปอยู่ตี้ไหนมา... ข้าเป็นห่วงอ้ายแต๊ๆ”
อ้าย... อ้ายเข้าไปล่าสัตว์บนดอยหลวงนันทบุรีที่นอกเวียง ดอยนั้นมีสัตว์ป่าชุกชุม หนำซ้ำดอกไม้งามแปลกตาก็หลายขนาด...
พอเห็นแล้วอ้ายฮู้ว่าเอ็งซอบ(ชอบ)ก็เลยอดเอามาฝากเอ็งบ่ได้”

จากการเคยอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนมานาน จะขื่อเลยได้รับรู้และซึมซาบความชอบ ของเด็กหนุ่มที่ไม่เพียงชอบงานสล่า ชอบงานศิลป์
ชอบขับดนตรีล้านนา และอีกสิ่งที่เด็กหนุ่มชอบทำหลังเสร็จภาระกิจในแต่ละวัน นั่นก็คือ ชอบปลูกดอกไม้หอม
มันยังรู้อีกด้วยว่าดอกไม้อะไรที่มหาดเล็กหลวงชมชอบ ทั้งกาสะลอง(ดอกปีบ) ดอกต๋าเหิน(ดอกมหาหงษ์) ดอกเก็จถะหวา(ดอกพุด)
ดอกบัวหลวง ดอกพยอม ดอกเอื้องป่า(กล้วยไม้) ดอกบัวระวง(พุทธรักษา) ดอกแก้ว ฯลฯ
ช่วงที่ไอ้แก้วไม่มีเวลาพรานหนุ่มก็จะช่วยรดน้ำพรวนดินให้อย่างดีจนออกดอกงามสล้าง...

จะขื่อหยิบห่อผ้าที่ข้างอานม้าออกมาพอแกะออกก็เป็น กอเอื้องแซะป่า กล้วยไม้ป่ากลีบดอกขาวสลับเหลืองอ่อน ส่งกลิ่นหอมจรุง
เนื่องจากเดินทางไกลเลยบอบช้ำไปบ้าง แค่จมูกได้สัมผัสกลิ่นหอมก็ชวนให้สบายใจยิ่งนัก

ไอ้แก้วรับกอดอกเอื้องแซะมากอดน้ำตาซึม กลิ่นหอมของกล้วยไม้ช่อนี้แม้มีเพียงสามดอกแต่ก็หอมมากมายนัก
เอื้องแซะนับเป็นกล้วยไม้สูงค่าควรเมืองและหายากมาก
อันเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องราชบรรณาการที่บรรดาเมืองเล็กเวียงน้อยจะต้องจัดหามาเป็นเครื่องราชบรรณาการแด่เวียงใหญ่
เช่น เวียงนพบุรีศรีนครพิงค์...

ข้าขอบในน้ำใจอ้ายนักๆ แค่อ้ายกลับมาอย่างปลอดภัยข้าก็ดีใจนักๆ แล้ว นี่อ้ายจะขื่อยังนำดอกเอื้องสูงค่าจะอี้กลับมาให้ข้าอีกด้วย
ข้าสัญญาจะปลูกและดูแลมันอย่างดี... ข้าบ่ฮู้จะอู้จะไดแล้ว”
พรานหนุ่มเห็นไอ้แก้วชู้รักดีใจที่เห็นมันกลับมาอย่างนี้ก็รู้สึกปลื้มปริ่มไม่น้อยหัวใจพองโตเป็นที่สุด

เอ็งฮู้ก่อว่าอ้ายกับอ้ายเมืองจะสาบานเป็นปี้-น้องกันที่พระบรมธาตุเจ้าของเวียงนี้”
ไอ้แก้วมองหน้าเมืองแมนสลับกับจะขื่อ ด้วยความงงงัน!!!

อ้ายกับจะขื่อเกิดปีเหม้า(กระต่าย)เหมือนกัน... แต่อ้ายแก่กว่า 1 เดือน เฮาสองคนจึงจะสาบานเป็นอ้าย เป็นน้องกัน”
แต๊ๆ ก่ะอ้ายเมือง... ฮู้ยย!!! ข้าดีใจแต๊ๆ งั้นเดี๋ยวข้าจะไปขอให้นางน้อยจัดหาบายศรีดอกไม้สดเพื่อบูชาพระบรมธาตุเจ้าเวียงนันทบุรีเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็รีบวิ่งไปทางเรือนใหญ่ที่เหล่านางกำนัลของเจ้าหมื่นพำนักอยู่
ทั้งเมืองแมนและจะขื่ออดหัวเราะร่าขำๆต่ออาการกุลีกุจอของเด็กหนุ่มไม่ได้ที่ดูจะดีใจยิ่งกว่าพวกมันเสียอีก

เมื่อเมืองแมนและจะขื่อ ทหารหนุ่มและพรานหนุ่มอาบน้ำชำระกายจนสะอาดสะอ้านแล้ว
ก็ชักชวนกันเดินทางไปไหว้สาพระบรมธาตุเจ้าคู่เมืองนันทบุรี โดยที่พันขาม และพันลือ อ้ายภูและอ้ายหมอก
ก็ติดตามมาไหว้สาพระบรมธาตุเจ้าด้วย

พระบรมธาตุเจ้าแห่งเวียงนันทบุรี งดงามเรืองรองด้วยศิลปะสุโขทัยศรีสัชนาลัย ผสมผสานกับศิลปะนันทบุรี
ยอดฉัตรแหลมสูงเสียดฟ้า แล้วลดหลั่นกันลงมาได้อย่างงดงาม องค์พระธาตุสีทองสุกปลั่งทั้งองค์เรื่อเรืองกลางแสงแดดยามเช้า
และสายหมอกอ้อยอิ่งในเดือนเกี๋ยง (เดือน 1 เหนือ หรือ เดือนตุลาคม) เยี่ยงนี้ ก็ยิ่งส่งให้องค์พระธาตุงดงามมลังมะเลืองสีทองเรืองผ่องอำไพ
ดั่งพระบรมธาตุบนฟากฟ้าก็ไม่ปาน...

พระบรมธาตุเจ้าประจำปีเกิดปีเหม้า (ปีเถาะ) แห่งนี้ ตั้งอยู่บนภูเตี้ยๆ ริมแม่น้ำ สร้างมาตั้งแต่สมัยร้อยกว่าปีก่อน
โดยเจ้าหลวงพระองค์หนึ่งที่ย้ายเมืองจาก “เวียงวรนคร” เมืองเก่า ก่อนจะมาสร้างเวียงใหม่เป็น“เวียงนันทบุรี” แทน ณดินแดนแห่งนี้

บายศรีที่นางเล็ก นางข้าหลวงในคุ้มเจานายที่ไอ้แก้วไปร้องขอให้จัดทำให้ ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองประคองยอขึ้นเหนือเศียร
แล้ววางหน้าองค์พระบรมธาตุเจ้า ภาพที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ณ ตอนนี้
เป็นภาพที่ทหารหนุ่ม และพรานหนุ่ม ต่างนั่งคุกเข่ายอมือไหว้สาพระบรมธาตุเจ้าประจำชาตาเกิดปีเหม้า(กระต่าย)

เพื่อให้เกียรติแด่น้องร่วมสาบานเมืองแมนจึงสลัดชุดทหารเต็มยศของล้านนา แล้วแต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดาสีขาวสะอาด
โดยนุ่งเพียงเตี่ยวสั้นโชว์อกแกร่งงาม และตะโพกขาวที่สักลายงามตามพุงและต้นขาแกร่ง
แล้วโพกหัวด้วยผ้าฝ้ายขาว และเหน็บดาบคู่ใจ ถึงแม้ไม่แต่งเต็มยศแต่ก็สง่างาม คมคายยิ่งนัก

จะขื่อนุ่งเตี่ยวสั้นผ้าฝ้ายชุดใหม่ที่ไอ้แก้วจัดหามาให้ หน้าตาคนสวมหล่อเหลา รูปกายก็แกร่งงาม น่าชมกันคนละแบบ
เปรียบก็เหมือน หนึ่งดวงตะวัน  และ หนึ่งดวงจันทรา งามกันคนละแบบ คนนึงามสง่าโอ่อ่า ผึ่งผาย
อีกคนก็หล่อน่ารัก ละมุนละไม อ่อนโยน และเป็นมิตร

ภาพงดงามอย่างนี้ประทับใจไอ้แก้วจนอดหลั่งน้ำตาขึ้นมาจนต้องรีบซับ ชายหนุ่มทั้งสองกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันดังกังวาน

ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้าบัดนี้ข้าทั้งสองผู้เกิดในปีเหม้า(ปีกระต่าย) พวกข้าเจ้าขอไหว้สาพระบรมธาตุเจ้าโปรดรับรู้ว่าบัดนี้ข้าสองคน
ได้สาบานเป็นอ้ายเป็นน้องกั๋น เฮาสองจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เป็นอ้ายจาย น้องจาย กันจะอี้ตลอดไปๆสาธุ!!!”

แล้วชายทั้ง 7 คนต่างก็ยิ้มหัวให้กันอย่างมีความสุข ไอ้แก้วเดินเข้าไปนั่งตรงกลางของสองพี่น้องร่วมสาบานผู้มีปีเกิดปีเดียวกัน
แล้วจับไหล่แกร่งของชายทั้งสอง เหมือนอยากจะบอกให้รู้ ว่าพวกมันทั้งสองคือคนสำคัญในชีวิตของไอ้แก้ว...

.........................................................................................

เดือนนี้เป็นเดือนออกวัสสา(ออกพรรษา)ของเวียงนันทบุรี ซึ่งเวียงนันทบุรีจะมีประเพณีการแข่งเรือในลำน้ำน่านทุกปี
และจะมีการ ขับซอ ฟ้อนรำในเรือทำนองล่องน่าน ล่องมาตามแม่น้ำน่าน
อันเป็นจารีตประเพณีที่งดงามยิ่งนัก แม้กระทั่งในเวียงนพบุรีอันเป็นเมืองใหญ่ก็ไม่มีโอกาสได้ชม

อ้ายภู อ้ายหมอก สองทหารพี่น้องพาอาคันตุกะจากต่างเมืองชมประเพณีแข่งเรือ และการขับซอล่องน่านในลำน้ำน่านด้วยความยินดี
เพราะต่างก็ชอบพอไอ้แก้ว และนิยมในฝีมือวิชาการต่อสู้อันล้ำเลิศของเมืองแมน
ภาพประเพณีงานแข่งเรือ และขับซอในลำน้ำน่านได้สร้างความตื่นตาน่าสนใจแก่พวกไอ้แก้วและผู้มาจากต่างเมืองยิ่งนัก

ฮู้ยย!!! งามแต๊ๆ เลยเน้อ”
ไอ้แก้วร้องบอกคนอื่นตามองลงไปที่ลำน้ำด้วยความชื่นชมยินดีถ้าเวียงนี้ไม่มีสงคราม คงเป็นเวียงที่วิเศษที่สุด

เรือแต่ละลำงามแต๊ๆ หัวเรือแกะสลักเป็นพญานาคนั่นก็งาม เป็นหงส์นั่นก็งาม”
เมืองแมนเอ่ยชมขบวนเรือสีสันสดใสสมจริง

แม่นแล้วอ้ายเมืองเรืองามแต๊ๆ เสียงขับซอทำนองล่องน่านนั่นก็ม่วนขนาด”
ไอ้แก้วนึกชมอย่างที่ใจคิด ชี้ชวนให้ทั้งเมืองแมนและจะขื่อดูเรือลำนั้น ลำนี้อยู่ตลอด

ม่วนแต๊ๆ เนาะเลยเน้อ... บ้านในป่าในดอยของอ้ายบ่ม่วนบ่เปิงใจจะอี้”
จะขื่อกล่าวชมด้วยอารมณ์คึกคักต่อภาพที่กำลังได้สัมผัสในตอนนี้ที่มีผู้คนมากมาย ขบวนเรือ

ทุกคนต่างตื่นตากับภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ มองไปรอบๆ ชนที่เป็นเจ้านายก็ปลูกปะรำพิธีนั่งดูอยู่ในปะรำ
ส่วนไพร่ก็ออกันจนล้นขอบตลิ่งของแม่น้ำน่าน เพื่อรอดูขบวนเรือ
ไพร่ฟ้าเวียงนันทบุรีหน้าตาหมดจด ไม่แพ้เวียงนพบุรีศรีนครพิงค์ ซ้ำยังมีน้ำใจงาม
ป้อจายก็รูปงาม ผิวขาว ผู้ชายนุ่งเตี่ยวสั้น

ซึ่งการสวมเสื้อผ้าสามารถบ่งบอกฐานันดรศักดิ์ได้อย่างดี ถ้าเป็นเจ้าหรือตระกูลคหบดีจะแต่งกายด้วยผ้าราคาสูง เช่นผ้าไหม
ประดับประดาเครื่องประดับยศ ตุ้มหูทอง เครื่องประดับทองสร้อยสังวาลย์ทอง และเหน็บด้วยดาบฝักทอง

ส่วนที่ไพร่หรือสามัญชนทั่วไป สวมเสื้อผ้าทอด้วยฝ้ายย้อมสี ส่วนมากจะนิยมย้อมคราม
ที่เรียกว่า “ม่อฮ่อม” ผู้ชายนุ่งเตี่ยวสั้น สับขาลายตั้งแต่พุงขาวๆ ลงมาตามตะโพก ลงมาตามต้นขา และนิยมสะพายเป้

แม่ญิงเวียงนี้ก็หน้าตาสะสวยพริ้มเพรา ผิวพรรณนวลงาม นิยมสวมซิ่นตีนจก ตีนดำ ลวดลายน้ำไหล
ผ้ารัดอกทับด้วยสไบสีสวยอีกทบหนึ่งเกล้ามวยสูงประดับดอกไม้หอม หรือถ้าฐานะดีก็จะประดับด้วยดอกไม้เงิน และทองคำ
ตามศักดินาฐาะของตน

พันลือ พันขามพันเฮือง ชะเง้อคอมองแม่ญิงเวียงนันทบุรีจนตาละห้อย
พอดีพันขามสะกิดเมืองแมนให้ดูแม่ญิงวัยกำดัด อายุไม่เกิน 17 ปีนางหนึ่ง
ที่กำลังงามสะพรั่ง ผิวนวลผ่อง สวมซิ่นสีตีนจกสะไบสีบานเย็นก็ถึงกับชมเปาะอย่างเผลอตัว

ไอ้เมืองมึงผ่อนั่นก้ะ...แม่เอย... งามแต๊ๆ เลยแม่เฮยยย ใจอ้ายขามจะขาดรอนๆ”
พันขามที่เป็นคนปากตรงกับใจถึงกับเพ้อออกมาจนผู้เป็นพ่อแม่ที่มากับลูกสาวคนงามหันมามองขวับด้วยความเคืองใจ
ในขณะที่ลูกสาวกลับมีอาการขวยเขินแต่ก็ยังหันมาเมียงมองมาทางด้านนี้อย่างเอียงอาย อย่างมีจริตสาว

ผู้เป็นพ่อเห็นอย่างนั้นจึงรีบจูงแขนลูกสาวเดินหนีไปชมขบวนเรือทางอื่น
พลอยทำให้หนุ่มๆคนอื่นอดหัวเราะเพราะความปากตรงกับใจของพันขามกันถ้วนหน้า…

เรือแต่ละลำสลักเสลาหัวเรือเป็นพญานาคบ้างเป็นรูปสัตว์มงคลต่างๆ บ้างตามธรรมเนียมนิยม
ในขบวนเรือจะมีการฟ้อนรำโดยช่างฟ้อนที่แต่งกายอย่างงดงามจากหมู่บ้านต่างๆที่เข้าร่วมประเพณีออกพรรษานี้
จะมีการล่องเรือไปแล้วขับซอ ทำนองล่องน่านไปด้วย

ช่างฟ้อนก็จะฟ้อนบนเรืออย่างงดงามน่าชมยิ่งนัก เนื้อหาของเพลงบ่งบอกถึงการย้ายเวียงนันทบุรีแล้วมาตั้งเป็นเวียงนันทบุรีในปัจจุบัน
ความประทับใจ ภาพความงดงามในงานประเพณีออกวัสสา(ออกพรรษา)นั้น ได้ทำให้ไอ้แก้วจดจำทำนองและ  “ล่องน่าน” จนขึ้นใจ…

........................................................................................

เวลาเย็นย่ำพระอาทิตย์คล้อยต่ำแดดร่มลมตก...
เมืองแมนกำลังแนะนำวิชาการต่อสู้ให้อ้ายหมอกที่ประทับใจในฝีมือการต่อสู้ของเมืองแมนตั้งแต่ครั้งนั้น
ส่วนจะขื่อ พันเฮือง และอ้ายภู กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสถึงความประทับใจในงานออกพรรษาของเวียงนันทบุรีวันนี้

ไอ้แก้วยังคงประทับใจงานแข่งเรือและประเพณีขับซอล่องน่านไม่หาย เอ่ยชมประเพณีของนันทบุรีกับอ้ายภูไม่ขาดปาก
จนเจ้าบ้านทั้งสอง อดยิ้มอย่างยินดีไม่ได้ที่แขกต่างเมืองชื่นชอบวัฒนธรรมของเวียงนันทบุรี

ข้าดีใจแต๊ๆ ที่เอ็งซอบ”
ข้าอยากมาผ่ออีก... ข้าซอบการขับซอ ได้ยินได้ฟังแล้วม่วนใจแต๊ๆ”

อ้ายภูก็หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีทั้งสองเผลอสบตากัน แววตาของอ้ายภูที่ส่งมามันมีแววหวานซึ้ง
จนไอ้แก้วสัมผัสได้แต่แล้วก็ต้องหยุดเพียงเท่านั้น
เมื่อเมืองแมนเลิกจากการสอนอ้ายหมอกเด็กหนุ่มผู้สนใจวิชาการต่อสู้จากเมืองแมนแล้วเดินมาเข้ามาสมทบ
เมืองแมนเดินเข้าไปหยิบซึงในห้องแล้วทำท่าดีดจนเกิดเสียงดัง

ติ่งติ๊งติิ่งติ๊งติิ่งติ๊ง.......”
เสียงสดใส ไพเราะ เสนาะโสต

นั่นอ้ายเมืองจะทำอะหยังก๊า!!!... ขับซึงเป็นก็บ่บอกกันพ่องเน้อ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ขับบ่เป็นดอก... แต่วันนี้อ้ายครึ้มใจนักๆ จึงอยากฟังน้องขับเพลงม่วนๆ หื้อพวกอ้ายฟังซักเพลงจะได้ก่อ”

โอถ้าได้ยินไอ้แก้วขับซึงหื้อฟัง... ก็นับว่าโชคดีแต๊ๆ แล้ว”
อ้ายภูออกปากสีหน้ากระตือรือร้นด้วยความสนใจ

"ดีๆๆ... ข้าเคยได้ยินไพร่พูดกันว่ามหาดเล็กคุ้มเจ้าหมื่นขับซึงได้ม่วนขนาด”
อ้ายหมอกก็เอาด้วยเพราะอยากฟังการขับซึงของไอ้แก้วมานาน
แต่ก็ไม่กล้าขอทั้งๆที่หลายอาทิตย์ก่อนตัวแทบจะติดกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ

(ซึงเป็นเครื่องดนตรีประเภทดีดมี 4 สายตัวกะโหลกและคันทวนของซึงมักทำด้วยไม้แก่นเนื้อแข็งชิ้นเดียวกัน
ขุดคว้านตอนที่เป็นกะโหลกให้เป็นโพรงและใช้ไม้ตัดกลมเจาะรูกลางแผ่นทำเป็นฝาปิดด้านหน้าเพื่ออุ้มเสียงให้เกิดกังวาน
สายทั้ง4 สายนี้ใช้เส้นลวดขนาดเล็ก 2 สาย และสายใหญ่ 2 สาย มีหย่องสำหรับหนุนสายตรงกลางกะโหลกด้านหน้า
และมีตะพานหรือนมรับนิ้ว 9 อัน อันทางปลายทวนยาวเต็มหน้าทวนแต่อันถัด ๆ มาก็สั้นเข้าถึงอันที่ 9
ซึ่งอยู่ใกล้กะโหลกยาวราวครึ่งหนึ่งของหน้าทวน ปลายทวนทำให้แบนและงอมาทางด้านหน้าซึง เป็นเครื่องดีด
ที่ชาวล้านนานิยมใช้ถือและแนบหน้าอกด้วยมือซ้ายและมือขวา ถือไม้ดีดซึ่งทำด้วยเขาหรือกระดูกสัตว์ใช้สำหรับดีด)

เมืองแมนและสองทหารแห่งเวียงนันทบุรีต่างขอร้องให้เด็กหนุ่มขับซึงพร้อมร้องเพลงให้ฟัง
เด็กหนุ่มก็ยิ้มกริ่ม รับซึงฝีมือประณีตจากเมืองแมน แล้วเอ่ยปากถาม

พวกอ้ายเมืองอยากฟังเพลงหยัง”
อืมมตอนนี้เฮาอยู่เวียงนันทบุรี... จะอั้นฮ้องเพลงที่เกี่ยวข้องกับเมืองนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่เวียงนี้นับว่าดีนักๆ”
ดีๆๆ ดีๆๆ ดีแต๊ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
อ้ายหมอกที่ยังมีอารมณ์รักสนุกแบบเด็กๆปรบมือแปะๆ เมื่อรู้ว่าจะได้ยินมหาดเล็กหลวงอย่างไอ้แก้วจะขับซึงให้ฟัง

ไอ้แก้วนึกเพียงครู่เดียวก็ดีดนิ้วดังเปาะ นึกออกว่าจะขับร้องเพลงอะไรให้หนุ่มๆ ฟัง

ตามใจ๋อ้ายเน้อ...”
เด็กหนุ่มนำซึงขึ้นมาวางบนตักแนบกับอกแล้วเอาไม้ดีดที่ทำจากกระดูกสัตว์ที่เกลาจนกลมมนออกมาดีดไปมาบนสายซึง
เริ่มบรรเลงด้วยสำเนียงอ่อนหวานสดใสในยามเย็นย่ำเยี่ยงนี้ เสียงซึงดัง ติิ่งติ๊งติิ่งติ๊ง... อ้อนล้ออยู่ตามลม
ยิ่งสร้างบรรยากาศให้สบายราวกับอยู่บนวิมานแมนก็ไม่ปาน

เนื้อเพลงบรรยายสภาพชีวิตของชาวเวียงนันทบุรีอันมีชีวิตชีวาของหนุ่มสาวของเวียงนันทบุรี ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
ในเนื้อเพลงบรรยายถึงแม่ญิงเวียงนันบุรีนุ่งซีนตีนจก ที่เรียกว่า “ลายน้ำไหล” อันเป็นลายเอกลักษณ์ของเวียงนันทบุรี
แม่ญิงนันทบุรีเกล้ามวยสูงทัดดอกไม้หอมใส่ตุ้มหูประดับงดงาม หาบคอนสิ่งของ หอบกระบุงหิ้วย่ามติดตัวไปไหนมาได้ด้วย

ในขณะที่ป้อจายก็งาม ป้อจายนันทบุรีนิยมสักลาย ตามพุง ตามตะโพก ตามต้นขา เรียกว่า “สับขาลาย” ตามแบบนิยมในสมัยนั้น
ป้อจายเห็นแม่ญิงงามก็จะเข้าไปจีบสาว จีบไปสูบยาไปด้วย ออเซาะฉอเลาะ ตามวิสัยหนุ่ม-สาว

ขออนุญาตนำ “เพลงนันทบุรี” ของคุณ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ขับร้องโดย หนู มิเตอร์ มาประกอบนะครับ
ใครอยากฟังเพราะๆสามารถหาฟังได้ในยูทู้ป ตามลิงค์ได้เลยครับ https://www.youtube.com/watch?v=71zu5qliJag
บอกเลยว่าเพลงเพราะมากๆๆๆเลยครับ

http://www.g4guys.com/data/attachment/forum/201511/07/133759jlvqzigxhisz12hv.jpg 

เพลงนันทบุรี
ซิ่นตีนดำ... ซิ่นลายน้ำไหล...
คอนหามไหวไหว... ใส่เสื้อฮ่อมคราม
พ่อชายพรายพริ้ง... แม่หญิงแม่งาม…
หาบบุงหาบย่าม... ลายขาวลายแดง

ม้วนเกล้ากระหวัด... ทัดดอกไม้หอม...
แพรคาดพาดค้อม... ต่างหูฮักแพง
แม่สาวพ่อหนุ่ม...กรุ้มกริ่มยิ้มแกล้ง…
ประจงจัดแจง...จีบยามวนยา

เท้าแขนแอ่นอ่อน... กำไลซ้อนข้อ...
ขยับรับรอ... ผู้บ่าวผ่อหา…
ยิ้มฉุยกรุยกราย... สักลายรอบขา...
ลงข่วงล่วงคว้า... ด้ายกรอทอใย...

เกาะไหล่ใกล้แก้ม...แย้มแย้มยิ้มยิ้ม...
ผู้หนุ่มกรุ้มกริ่ม... ผู้สาวพราวใส...
กางจ้องผ่องผ่อ... กอดคอเคียงไหล่...
ค่อยคลาดค่อยไคล... ในนันทบุรี...”

ทหารหนุ่มทั้ง 4 กับ 1 พรานหนุ่ม ต่างนั่งมองไอ้แก้วขับซึงไปมือก็ปรบให้ทำนองไปด้วยอย่างสนุกสนาน
เหมือนต้องมนต์สะกด...

จากลำนำการขับซึงของเด็กหนุ่ม ไอ้แก้วก็ขับซึงและร้องเพลงได้อย่างเพราะพริ้ง
เนื้อเพลงที่เอ่ยทำให้เห็นภาพความงดงามมีชีวิตชีวาของเมืองนี้ได้ดีที่สุด และเข้ากับบรรยากาศยามพลบอย่างนี้เป็นที่สุด

ปากสวยได้รูปของเด็กหนุ่มขยับเอื้อนไปมาฟันขาวเรียงกันสวยเหมือนไข่มุก
ดวงตาหลุบต่ำ ตามเครื่องดนตรีนิ้วก็ไล้กรีดกรายไปมาเป็นภาพที่งดงามยิ่งกว่ารูปปูนปั้นที่ประดับตามวัดก็ไม่ปาน

ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน “คนธรรพ์” หนุ่มรูปงาม กำลังขับซึงให้โลกหล้าได้สดับฟังดนตรีจากสวรรค์
ชายหนุ่มทั้ง 5 ต่างนิสัย ต่างความคิด แต่เมื่อได้นั่งฟังดนตรีอันสุดแสนเพราะพริ้งจากการขับซึงของเด็กหนุ่มก็สุขจนอิ่ม

โดยเฉพาะเมืองแมน จะขื่อ รวมทั้ง อ้ายภู ด้วยแล้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งลุ่มหลง

.............................................................

ในห้องที่มีแสงจันทร์สาดส่องผ่านบานหน้าต่างอาบร่างชายทั้งสามที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์......

ตั้งแต่เมืองแมนและจะขื่อได้สาบานเป็นพี่น้องกัน ทั้งทหารหนุ่มและพรานหนุ่ม
ต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันเสพสุขกับไอ้แก้ว จนสำเร็จความใคร่อย่างมีความสุขมานานหลายคืน
เพราะทั้งสามคนต่างก็นอนร่วมห้องเดียวกัน

ส่วนพันเฮืองไปค้างกับพันขามและพันลือที่เรือนหลังอื่น

คืนนี้ก็เช่นกันไอ้แก้วนอนกอดเมืองแมนอยู่ส่วนด้านหลังจะขื่อก็กอดไอ้แก้วแน่นอีกทอดหนึ่ง
มือของไอ้แก้วและเมืองแมนต่างลูบไล้กันไปมาจะขื่อเองก็กระทำอย่างนั้นบ้างตามเนื้อตัวของเด็กหนุ่ม
จนมือของไอ้แก้วล่วงละเมิดท่อนล่างของเมืองแมนจนอาวุธของทหารหนุ่มแข็งชูชัน
เมืองแมนอดทนไม่ได้อีกต่อไปดึงหน้าของเด็กหนุ่มมาจูบปากอย่างดูดดื่ม ทั้งสองลูบไล้ร่างกายกันไปมาอย่างเร่าร้อน!!!

ในขณะที่จะขื่อก็ไซ้ตามซอกคอของเด็กหนุ่มมือก็บีบบี้ยอดอกจากเบามือก็เริ่มหนักมือจนไอ้แก้วร้องครางกระเส่า
จึงหันหน้ามาจูบปากกับจะขื่อบ้างเมืองแมนก็จะดูดนมให้เด็กหนุ่มอย่างเมามัน ลำตัวขาวและแกร่งงามของไอ้แก้วถูกสองหนุ่มต่างชนชั้นฟอนเฟ้นอย่างเมามัน แล้วทหารหนุ่มกับพรานหนุ่มหล่อก็เอาอาวุธแข็งจัดทั้งสองดุ้นมาให้ไอ้แก้วปรนนิบัติด้วยเรียวปากจนทั้งสองร้องครางกระเส่า
ต่างก็จับหัวเด็กหนุ่มรูปงามให้อ้าอมดูดเลียให้ตัวเองอย่างเมามัน

อาวุธของจะขื่อใหญ่กว่าด้วยขนาด 8.5 นิ้ว!!!  ส่วนเมืองแมนก็ไม่ธรรมดาด้วยขนาด7.5 นิ้ว!!!

ร่างกายเปลือยเปล่าของชายทั้งสองงดงามสมบุรุษเพศ ขนเพชรดกดำงดงามหยิกหยอย
ไอ้แก้วสุขใจเป็นที่สุดที่ได้ปรนเปรอความสุขให้ชายทั้งสองจึงสลับปากดูดเลียอย่างเต็มที่

ซี้ดดด!!! เสียวแต๊ๆ”
จะขื่อร้องครางไอ้แก้วก็ผละจากแล้วไปดูดให้เมืองแมนบ้าง

ฮู้!!! เสียววววว!!!”

เสียงครวญครางของทั้งสองราวกับแข่งกันก็ไม่ปาน จนทหารหนุ่มอดทนต่อไปไม่ได้
จับไอ้แก้วคลานสี่ขาให้แอ่นตูดอ้าขากว้างแล้วเข้าประกบด้านหลัง
ทหารหนุ่มจ่ออาวุธอันสวยงามสมบุรุษมุดเข้าประตูหลังของไอ้แก้วช้าๆช้าๆ จนเข้ามามิดลำ!

อา...ข้าเสียววว!!!”

ไอ้แก้วถึงกับคายอาวุธคู่ใจขนาดใหญ่ของพรานป่าออกจากปากแต่ก็ถูกจะขื่อผู้กลายมาเป็นน้องร่วมสาบานของเมืองแมน
กระหน่ำปากด้วยอาวุธขนาด 8.5 นิ้วอย่างเมามัน!!!
หทารหนุ่มโยกซอยตะบี้ตะบันตูดของเด็กหนุ่มอย่างมเมามัน

จังหวะไม่มีลดลงมีแต่เพิ่มความหนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนเสียงหนอกกระทับง่ามตูดงอนงามของไอ้แก้วดังตั้บๆๆ!!! ดังไปทั่วห้องน้อยแห่งนี้

ซี้ดดด!!! เสียววว มันแต๊ๆ”

เมืองแมนหอบกระเส่าสองมือกดไหล่คนรักที่กำลังอมอาวุธของน้องร่วมสาบานอย่างเมามัน
รูสวรรค์และหุ่นผิวนวลงามของไอ้แก้วช่างสร้างความหฤหรรษ์ให้กับทหารหนุ่มจนสุดกลั้น!!!
เมืองแมนขบเล็มเลยตามซอกคอหัวนม และไหล่หลังของไอ้แก้วอย่างเมามัน

เด็กหนุ่มก็เสียวและสุขแต่ทำได้แต่ร้องอือๆในลำคอเพราะมีอาวุธดุ้นใหญ่ของพรานป่าจนเต็มปาก
เมืองแมนเร่งกระแทกอย่างเมามันตื่นใจทุกครั้งที่ได้ร่วมสังวาสคนรักพร้อมกับน้องร่วมสาบาน
โดยมีไอ้แก้วคอยปรินนิบัติพวกมันทั้งพี่และน้องติดต่อกันมาหลายวันจนอิ่มเอม

เมื่อความเสียวซ่านใกล้ถึงจุดสุดยอดทหารหนุ่มก็กดเอวเด็กหนุ่มแน่น
แล้วกระแทกอาวุธเข้าข้างหลังของเด็กหนุ่มรัวๆอีกนับสิบครั้ง!!! ส่งเสียงฮึ่มๆ ออกมาจากลำคอ
บ่งบอกถึงความสุขที่ได้รับก็ไม่ปาน

อ๊ะๆๆๆๆ!!! ซี้ดดดดดด ข้าแตกแล้วๆๆ!!!”

เมืองแมนทหารเอกแห่งเวียงพิงค์กระตุกลำลึงค์ถี่ๆแล้วทะลักน้ำกามเข้าในตัวของไอ้แก้วอย่างมากมาย
เมืองแมนลงไปนอนแผ่หลาอย่างสุขล้นอยู่ข้างๆ

ทางด้านพรานป่าของใหญ่ก็กระหน่ำอาวุธล้ำหน้าคนเมืองใส่ตูดไอ้แก้วอย่างเมามันในท่าหมา
ไอ้แก้วแอ่นตูดจนโด่งตามแรงมือของจะขื่อที่กดเอวให้ลอยเด่นเพื่อจะได้เสพสุขได้สะดวก
จนเด็กหนุ่มเชิดหน้าสูดปากครางทุกครั้งยามโดนกระแทก!!!

อ๊ะๆๆ!!!”

จะขื่อเร่งกระหน่ำซอยตูดของไอ้แก้วในท่าหมาจนไอ้แก้วขาอ่อนแทบหมดแรง!
พรานหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นจับเด็กหนุ่มให้นอนหงายแล้วเอาขาพาดบ่าแกร่ง
แล้วกระหน่ำรัวประตูสวรรค์ของเด็กหนุ่มอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังคับห้อง

ตั๊บๆๆๆ!!!!!”

ไอ้แก้วจับอาวุธของตัวเองสาวไปด้วยตามแรงของจะขื่อที่กระแทกลงมาจนใกล้จะสำเร็จความสุข
จะขื่อที่กระแทกด้วยกำลังกายแกร่งที่มีเรี่ยวแรงมากล้น! ก็ทนทานความเสียวต่อไปไม่ไหว
กระแทกอาวุธขนาดใหญ่ยาวเน้นๆ แรงๆ จนไอ้แก้วเสียวจี้ดจับใจ ถึงกับทะลักน้ำออกมาคามือตัวเอง
ส่วนพรานป่าหน้าหล่อก็ร้องลั่นเมื่อพ่นน้ำรักเข้าในตัวของเด็กหนุ่มเป็นคนที่สอง

อ๊า!!!... อูยยยย!!!”
ซี้ดดด... น้ำอ้ายออกแล้วๆๆอ๊า!!!”
พรานป่าโถมทับบนตัวของไอ้แก้วอย่างหมดแรง แล้วทั้งสองก็กอดเชยชิดกันกลมอย่างสุขล้น

ก่อนจะหลับไหลไปในคืนแห่งความสุข ไอ้แก้วไม่ลืมที่จะนอนกอดเมืองแมนเหมือนเช่นเคย
หลับตาอย่างเปี่ยมสุขที่ได้กลับมาเป็นคู่สู่สม ซ้ำยังมีะขื่อมาแนบกอดข้างหลังของเด็กหนุ่มอีกต่อหนึ่ง

ชายทั้งสามต่างก็หลับใหลไปในคืนแห่งความหนาวเย็นของการเริ่มต้นฤดูหนาวของปีนั้น

วิถีแห่งความสุขของคนทั้งสามก็ผ่านไปอย่างมีความสุขอีกหนึ่งคืนแล้ว.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น