วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 18 จากคู่กัด กลายเป็นคู่ใจ

เด็กหนุ่ม ฝืนใจเอาดาบฟาดฟันตีโต้กลับไปพร้อมควบไอ้ขาวให้กระโจนหนีออกไปตามริมแม่น้ำ
ณ ริมแม่มีความลาดชันยิ่งนัก ด้วยเป็นฤดูแล้ง แต่ถึงอย่างนั้นน้ำข้างล่างก็ไหลเชี่ยวกราก

ในยามดึกสงัดที่ไร้ทั้งแสงจันทร์ และแสงดาว ทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีฯ ควบม้าติดตามหมายปลิดชีพอีกฝ่ายไม่ลดละ

“จะหนีไปไหน...เจ้าคนยวน!!!”

ทหารกรุงศรีฯ ควบม้าตามมาติดๆ จนกระทั่งม้าทั้งสองตัวอยู่ห่างกันเพียงคืบ!
ทันใดนั้นทหารแห่งกรุงศรีฯ ก็กระโดดขึ้นมาที่ม้าไอ้ขาว

“เฮ้ยยย!!!”

เด็กหนุ่มร้องด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ ไม่คิดว่าทหารแห่งกรุงศรีฯ ผู้นี้ จะกล้าและบ้าบิ่นปานนี้
ทั้งสองต่างกอดปล้ำกันไปมาบนหลังของไอ้ขาว เด็กหนุ่มหักศอกกลับอีกฝ่ายก็หลบทัน
อีกฝ่ายจะรัดคอมัน เด็กหนุ่มก็ค้อมหัวหลบเลี่ยงได้ ด้วยความตกใจไอ้ขาวจึงร้องดังก้องแล้วยกขาหน้าขึ้นสูง

ทำให้ทั้งสองพลัดตกจากหลังม้าร่วงหล่นลงไปที่ริมแม่น้ำอันลาดชัน!!!
ทั้งสองร่างกอดเกี้ยว ดึง ยัน กันไปมาเหมือนต่อสู้มวยปล้ำ
ต่างก็ไม่ยอมปล่อยอีกฝ่าย จนเกลือกกลิ้งตกลงไปในแม่น้ำ!!!

ตู้มมม!!!.....

นาทีนั้นไอ้แก้วรีบแหวกว่ายขึ้นมาจากน้ำโดยไม่รู้ทิศทางว่าเป็นฝั่งไหนของแม่น้ำ
มันหอบหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายที เพราะขาดอากาศหายใจไปเมื่อชั่วครู่
มองไปรอบด้านก็ไม่เห็นเงาทหารกรุงศรีฯ เด็กหนุ่มจึงเดินตะเกียกตะกายไปที่ริมฝั่ง

เป่าปากร้องเรียกหาไอ้ขาวอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ยินเสียงมันตอบรับ แสดงว่ามันคงเตลิดไปไกลแน่แล้ว
และเวลานั้น!!! ทหารแห่งกรุงศรีฯ ก็เข้ามาจากด้านหลังแล้วรัดคอเด็กหนุ่มไว้ด้วยกำลังแขนอันกล้าแกร่ง!

“แค็กๆๆ!!!...”

เด็กหนุ่มหน้าเขียวด้วยหายใจไม่ออก นาทีนั้นเหมือนมองเห็นดาวนับร้อยๆ ดวงระยิบระยับ
เมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจจากการรัดคอ นาทีนั้นมันก็คลำมือไปที่ตะโพกที่เหน็บมีดสั้น
แล้วฉวยโอกาสครั้งสุดท้าย! แทงไปที่ชายโครงของทหารกรุงศรีฯ คมดาบปัเข้าชายโครงมัน สร้างความเจ็บปวดยิ่ง!!!

“โอ้ยยยย!!!...”

ทหารกรุงศรีฯ ร่ำร้องก้องป่าดังโหยหวน แล้วมันก็ล้มตึงลงไปริมแม่น้ำนั้น ร่างไม่ไหวติง

ตู้มมม!!!.....

เด็กหนุ่มถึงกับเข่าทรุดแล้วมันก็นอนแผ่หลาที่หาดทรายอย่างหมดเรี่ยวสิ้นแรง

ณ ตอนนี้มันคิดเพียงว่า หากแม้นทหารกรุงศรีฯ คนใด ต้องการปลิดชีวิตมันอีก ก็เชิญเถอะ
เพราะตอนนี้มันไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อกรอีกแล้ว แล้วเด็กหนุ่มก็หลับไหลไม่ได้สติไปจนถึงเช้า…..

..................................................................................................

รู้สึกตัวในตอนเช้า มองไปรอบๆ ก็มีแต่ไอหมอกขาวสล้าง ป่าเขาเขียวทะมึน มีสายน้ำไหลเอื่อยอยู่เบื้องล่าง
พลัน! ก็รู้สึกหนาวเย็นไปทั่วกาย จนต้องห่อไหล ปากเด็กหนุ่มซีดเพราะทั้งหนาวและเสียเลือดมาก
เรี่ยวแรงหมดไปมากจากเหตุการณ์ทัพกรุงศรีฯ เข้าตีเวียงโกศัยเมื่อคืนนี้

เด็กหนุ่มพยายามลุกขึ้นเพื่อไปล้างหน้าตา แล้วค่อยหาทางต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี
บาดแผลที่ได้รับเมื่อคืนเริ่มแห้งกรังเป็นรอยตัดกันที่ไหล่ซ้าย 2 แผล แผลแม้จะแห้งแล้วแต่ก็เริ่มปวดและอักเสบขึ้นมาแล้ว
พอไปถึงริมน้ำร่างที่ไร้วิญญาณของทหารแห่งกรุงศรีฯ ที่ติดตามมาฆ่ามันนอนแน่นิ่งอย่างน่าอนาถใจ...

ไอ้แก้วส่ายหน้าด้วยความสะเทือนใจ ไม่อาจมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้า ผู้ที่มันเองเป็นผู้ปลิดชีวิต
กำลังจะเดินจากไปพลันก็ได้ยินเสียงครวญครางเบาหวิว จนแทบจะไม่ได้ยินหากไม่นิ่งฟังดีๆ

เด็กหนุ่มทั้งตกใจ และตื่นกลัว!!!

"ทหารกรุงศรีฯ ผู้นั้น... มันยังบ่าตาย!!!”

เพราะรู้ดีว่าฝีมือคนละชั้นกันมาก หากแม้นมันผู้นั้นฟื้นตื่นขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร
เด็กหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้าไปดูสภาพที่เห็นคือร่างอันสูงใหญ่ของทหารเอกแห่งกรุงศรีฯ ในชุดทหารแปลกตา
ทหารผู้นั้นสวมหมวกปลายแหลมที่ทำจากโลหะ สวมสนับแขนหนัง สนับแข้งหนัง กรองคอที่ทำจากหนัง นุ่งโจงทับกางเกงสนับเพลา

เห็นสภาพแล้วก็รู้ได้ในทันที ว่าอาการของมันสาหัสนัก สภาพเยี่ยงนี้ยากนักจะทำอะไรมันได้
และนั่นดาบสั้นที่มันเป็นคนแทงเองกับมือ ยังปักคาที่ชายโครงของอีกฝ่ายอย่างน่าอเนจอนาถยิ่งนัก!
เด็กหนุ่มไปเพื่อหวังจะดึงดาบสั้นที่เมืองแมนมอบให้แต่แค่สัมผัสที่ด้าม

มันผู้นั้นพอโดนสะกิดที่ชายโครง ก็ร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วก็สลบไปอีกครา
ไอ้แก้วลำบากใจยิ่ง ใจนึกเวทนามันยิ่งนัก ที่ต้องมาตายไกลสุดหล้าฟ้าเขียวถึงดินแดนล้านนาท่ามกลางป่าเขาร้างผู้คนแบบนี้
แต่ถ้าหากช่วยชีวิตมันไว้แล้ว มันยังคิดจะฆ่าเด็กหนุ่มอีกเล่า จะทำอย่างไรดี...

ณ ตอนนี้ นึกลำบากยากใจยิ่งนัก....นาทีนั้นไอ้แก้วถอนใจเฮือก! พร้อมการตัดสินใจเป็นที่ชี้ชะตา เป็น-ตาย ของมัน

“ถือซะว่าเอาบุญ...”

เด็กหนุ่มคิดแล้วจัดการลากร่างไร้สติขึ้นไปใต้ร่มไม้ จัดการหายาสมุนไพรป่ามารักษาเจ้าคนต่างถิ่น

จนผ่านไป 1 วันเต็มๆ ที่เด็กหนุ่มใช้ชีวิตอยู่ริมแม่น้ำ และได้ช่วยชีวิตผู้ที่คิดจะฆ่ามันเมื่อหลายวันก่อน
จากการที่ได้อยู่ร่วมกับพรานหนุ่มทำให้ไอ้แก้วพอมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรบ้าง
ทำให้สองวันมานี้อาการของทหารกรุงศรีฯ ผู้นอนไม่ไหวติง ยังคงมีชีวิตรอดมาได้

เด็กหนุ่มจัดการผูกตรึงขาของทหารกรุงศรีร่างกำยำไว้กับต้นไม้ กันอีกฝ่ายคิดประทุษร้าย
มันถอดชุดทหารของอีกฝ่ายออก จนเหลือแค่เสื้อแขนกุด และกางเกง เพื่อสะดวกต่อการรักษา
เสื้อทหารแห่งกรุงศรีฯ เปื้อนโลหิตแดงเป็นคราบแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกันเลยกับตัวมันเอง

และเมื่อถอดหมวกปลายแหลมทรงดอกบัวออก ก็ทำให้ได้เห็นหน้าตาเจ้าคนที่เกือบจะฆ่ามันได้อย่างชัดเจน
ว่ามันผู้นี้มีใบหน้า

หล่อเหลาคมคาย  ไม่แพ้ชายใดที่เด็กหนุ่มเคยพบมา!!!

ทหารกรุงศรีฯ ผู้นี้ อายุราว  25 ปี ร่างกายสูงใหญ่ กำยำ อกผาย ไหล่แกร่ง ต้นแขนแข็งแรง
รูปกายนับได้ว่างามสง่าสมชายยิ่งนัก ภายใต้ใบหน้าซีดขาวราวคนไร้ชีวิต แต่กลับเป็นบุรุษหน้าหล่อเหลาคมคายตามแบบคนสยาม ไทยถิ่นใต้
แถบดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งบุรุษดินแดนนั้นมักจะมีสีผิวเข้มไปจนถึงคล้ำจัด...

มันเองโตในคุ้มเจ้านาย วิธีล่าสัตว์ จับปลา นั้นก็ไม่ถนัดซักนิด
ผ่านไปหลายวันจึงได้ทานแค่หัวมันป่า กับผลไม้ป่า กล้วยป่า บ่าตัน(พุทรา) เท่าที่พอหาได้มาประทังชีวิต

“เฮ้อ!!! บ่าฮู้ว่าคิดถูกคิดผิด... ที่ข้าต้องจ้วยเอ็ง...”

เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเองเบาๆ พรางถอนหายใจหนักๆ เพราะถ้าไม่ติดที่ต้องดูแลเจ้าผู้นี้มันคงได้ออกตามหาเมืองแมน กับจะขื่อ ได้ดั่งใจคิด
เพราะนับตั้งแต่วันนนั้น ใจมันก็แสนจะห่วงเมืองแมน จะขื่อ และนายกองโชติ ยิ่งนัก
รวมไปถึงชาวเวียงโกศัยยิ่งนักป่านนี้เวียงน้อยจะโดนทำลายจนย่อยยับซักเพียงไหนหนอ
แล้วทันใดนั้นร่างที่แน่นิ่งมาเกือบ 3 วันก็สำลักตื่น

“แค้กๆๆๆ!!!...”

เด็กหนุ่มเข้าไปประคองอย่างจำใจ ทั้งที่ใจนั้นช่างขัดกับความรู้สึกนักหนา
พอทหารกรุงศรีเห็นว่ามีคนช่วยก็พูดด้วยเสียงอันเบาหวิวแหบแห้ง

“ขอน้ำ... ขอน้ำให้ข้าที”
เด็กหนุ่มกรอกน้ำป้อนคนเจ็บตรงหน้า

“ขอบในน้ำใจท่านนักที่ช่วยข้าไว้...”
ทหารกรุงศรีฯ หน้าคมพอเห็นชัดว่าเป็นศัตรูที่ลงมือฟาดฟันกันเมื่อหลายคืนก่อนก็ผลักไอ้แก้วจนกระเด็น!

“เอ็ง!!!...”

แต่แล้วก็หมดเรี่ยวแรงลงไปนอนอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะเกือบ3 วันมานี้มันไม่ได้ทานอะไรเลย
ซ้ำยังเสียเลือดไปมากไอ้แก้วส่ายหัวด้วยความสมเพช

“เจ็บขนาด... ยังจะมีแฮงอาละวาดอีกก๊า...”

ถึงฟังไม่ถนัดแต่ก็พอจับใจความได้ว่าเด็กหนุ่มด่ามัน ทหารกรุงศรีฯ จึงพยายามยันสังขารคิดต่อสู้
แต่เมื่อเห็นว่าขาถูกผูกล่ามไว้กับต้นไม้ก็ยิ่งโกรธหนัก!

“เอ็งกล้าดียังไงมามัดขาข้าไว้ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้... ปล่อย!!!”

ทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีฯตะโกนก้องด้วยความโกรธ แต่เด็กหนุ่มทำเป็นไม่แยแส โยนบ่าตันป่า(พุทรา)และกล้วยป่า
ให้แล้วเดินหนีเสียกันการรำคาญ ผ่านไปจนเย็นถึงเวลาต้องกินยาเด็กหนุ่มก็เอายาที่ต้มมาให้
ทหารหนุ่มหน้าคมปัดทิ้งด้วยความอาฆาต!

“ดี... จะอั้นก่บ่ต้องกิ๋น...จะได้ต๋ายๆ ไปเหีย(เสีย)!!!”

“เอ็งๆๆ!!!... แค็กๆๆ!!! เอ็งกล้าดียังไงพูดกับข้าแบบนี้...ข้าคือขุนสันต์ ทหารเอกแห่งกรุงศรีอยุธยา
เอ็งจงปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้... โอ้ยยย!!!”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลายทั้งสงสารสมเพช และรำคาญ
จึงเดินไปเอายาที่ต้มไว้มาให้อีกครั้ง

เด็กหนุ่มใช้หมวกเหล็กของอีกฝ่ายเป็นหม้อต้มยา ต้มน้ำ ไปในตัว
ส่วนผ้าพันเอวของทหารกรุงศรี กับผ้าโพกหัวของมันก็เอามาปูต่างเป็นที่นอน ตามแต่จะหาได้
พอทหารหนุ่มหน้าคมเห็นว่าหมวกประดับยศอันทรงเกียรติของตน ถูกใช้แทนหม้อต้มน้ำก็ยิ่งเดือดดาลเป็นหนักหนา!

“เจ้า!!!...เจ้าคนป่าคนดอย!!!...เจ้าบังอาจนัก!!! เอาหมวกข้าไปต้มยารือ... โอ้ยยย!!!”
ยิ่งดิ้น ยิ่งโกรธ แผลก็ยิ่งฉีกนายทหารหนุ่มถึงกับต้องนอนแผ่หลาแน่นิ่ง

“เฮ้อ!!! ก้ายแต๊แต๊ (เบื่อจริงๆ)ใกล้ต๋ายจะอี้...ยังมีอารมณ์ก่อฮ้ายนัก แถมยังจะมาอวดยศศักดิ์อยู่ได้...ง่าวไบ้ง่าวง่าว(โง่สุดๆ)”

เด็กหนุ่มพูดด้วยความรู้สึกสมเพชแล้วเข้าไปป้อนยาอีกฝ่าย
เจ้าทหารหน้าคมฮึดฮัดเม้มปากแน่นไม่ยอมกินแต่ก็โดนมือของไอ้แก้วง้างจนต้องอ้าปากจนได้

“แหวะ!!! ขม!!!... เอ็งเอาอันใดให้ข้ากิน ยาพิษใช่หรือไม่”

“ใจ๋ต่ำทรามจะอี้น่าจะปล่อยหื้อต๋ายๆ ไปซะ!!!”

“สามหาว!!! คนป่าคนดอยอย่างเจ้าจะไปรู้อันใด!!!”

“ข้าฮู้แต่ว่าคนล้านนาอย่างเฮาถึงเป๋นคนป่าคนดอย ก็บ่าเกยคิดตีเอาบ้านอื่น เมืองอื่น อย่างพวกเจ้าตี้ชอบทำ!!!...”

“เวียงโกศัยเป็นของสุโขทัยมาก่อน...อยุธยาที่ได้ครอบครองสุโขทัยก็ย่อมต้องมีสิทธิชอบธรรมที่ต้องได้คืนมา”

“พวกเอ็งมันวอกนัก(โกหก)!!!...”

เด็กหนุ่มชี้หน้าด่าคนเจ็บปากกล้าตรงหน้า
เรื่องราวประวัติศาสตร์มันเองก็พอทราบ จากการที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ที่คุ้มกลางเวียง จากการศึกษาตั๋วเมือง(หนังสือ)
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทหารหนุ่มพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงก็ตาม...
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว แต่บัดนี้เวียงโกศัยคือส่วนหนึ่งของ อาณาจักรล้านนา...หาใช่ของสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย อีกต่อไปไม่!

เด็กหนุ่มเริ่มรำคาญเจ้าคนอารมณ์ร้อนจึงขี้เกียจต่อปากด้วย
เพราะทั้งฝีปากที่คมกล้า อารมณ์ดุร้าย แถมมีนิสัยเจ้ายศ เจ้าอย่าง บวกกับฝีมือกล้าแข็งของมันแล้ว
เด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะไปโต้แย้งด้วย ต่อล้อต่อเถียงไปก็ไม่มีวันจบสิ้นรังแต่จะสร้างความรำคาญใจเสียมากกว่า

จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกหลายวัน อาการของทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีจึงเริ่มทุเลาขึ้น
แต่การสนทนากันของทั้งสองกลับไม่มีแม้เพียงครึ่งคำ
เมื่อถึงเวลาเด็กหนุ่มก็นำยาที่ต้ม กับเผือกมันผลไม้มาให้

แต่ในใจลึกๆ ทั้งสองกลับเกิดความผูกพันธุ์ขึ้นมาโดยที่ตัวมันทั้งสองก็ไม่รู้ตัว
ด้วยในป่าเขาลำเนาไพรไร้ร้างผู้คน การมีเพื่อนอยู่ด้วยนับเป็นสิ่งประเสริฐสุด
และตามวิสัยของมนุษย์ย่อมอ่อนไหวง่ายยามมีผู้มาทำดีให้ อาหารทุกมื้อ ยาทุกหม้อ ที่เด็กหนุ่มนำมาให้
มีหรือทหารกล้าแห่งกรุงศรีฯ อย่างมันจะไม่สำนึกรู้คุณ!

จนกระทั่งวันนี้ทหารหนุ่มมีอาการแปลกๆมีอาการเหมือนคนอยู่ไม่สุข บิดตัวไปมาเหมือนไม่สบายตัว
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าอีกฝ่ายฐิถิมานะเยอะจึงยอมเอ่ยปากถาม

“เป๋นอะหยัง... ดิ้นไปดิ้นมาอยู่ได้”
“ข้า... เอ่อ... ข้า...”
ทหารหนุ่มทำสีหน้าลำบากใจ แกมเขินอาย

“ฟู่(พูด)มาเวยๆ!!!...”
“อ้อ... ข้า... ปวดหนัก”
ความหมายของอีกฝ่ายคือต้องการให้เด็กหนุ่มปล่อยมันไปถ่ายทุกข์นั่นเอง
ถ้าปล่อยมันก็อาจะย้อนกลับมาฆ่าก็เป็นได้ เด็กหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ กรอกตาไปมาอย่างคิดหนัก

“รับรองข้าไม่หนีไปที่ไหน...ข้าจะถ่ายไม่ไกลจากแถวนี้”
ทหารหนุ่มพูดด้วยซื่อเพราะแทบจะราดอยู่รอมร่อเพราะร่างกายไม่ได้ถ่ายของเสียมาหลายวัน

“แล้วเอ็งก่อจะปิ๊กมาฆ่าข้าใจ้ก่อ...”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ารูปงามตึง มีแววจริงจัง ทหารหนุ่มเองก็ลืมนึกถึงข้อนี้
เพราะอย่างไรเสียมันก็มีฝีมือต่อสู้เก่งกาจกว่าเด็กหนุ่มตั้งหลายขุม การที่เด็กหนุ่มจะระแวงมันก็ไม่แปลก
นาทีนั้นทหารหนุ่มจำยอมนั่งคุกเข่ายกมือขึ้นไหว้ต่อเจ้าป่าเจ้าเขา

“ข้า...นามขุนสันต์... ทหารแห่งกรุงศรีอยุธยา ขอสาบานต่อเจ้าป่าเจ้าเขา พระแม่คงคา พระแม่ธรณี
ว่าข้าจะมิทำอันตรายใดใดแก่เจ้าคนยัว...เอ่อ ... เจ้าผู้นี้ หากแม้นคิดไม่ซื่อและทำอันตรายใดใดแก่มัน
ขอให้ชีวิตข้าฉิบหายตายด้วยคมหอกคมดาบภายใน 3 วัน 7 วัน”

เด็กหนุ่มรู้สึกพอใจต่อคำสัตย์สาบานของอีกฝ่ายยิ่งนัก เพราะมันเชื่อเสมอว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง

“ข้าจะปล่อยเอ็งก่อได้...แต่ถ้าเอ็งคิดบ่าซื่อระวังดาบสั้นข้าหื้อดีๆ ข้าจะแทงที่จุดเดิมที่ทำให้เอ็งเจ็บเจียนตาย!!!”

เด็กหนุ่มขู่ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม! ฟังแล้วอีกฝ่ายไม่ได้นึกขยาดซักนิด สำหรับทหารแห่งกรุงศรฯ มีหรือมันจะกลัว
แต่ใบหน้าที่งามเหมือนเทพบุตรนั่นต่างหาก ที่ทำให้มันอดเผลอมองอย่างเผลอไผล!

พอเด็กหนุ่มตัดเชือกที่มัดขามันไว้ออกทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีฯ ก็รีบวิ่งเข้าป่าไปปลดทุกข์ทันที
ทหารหนุ่มหายไปพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่กลับมา จนเด็กหนุ่มชักไม่ไว้วางใจ จึงเริ่มมีความหวาดระแวง
กำดาบสั้นอยู่ตลอดเวลา ซักพักก็ได้ยินเสียงคนเหยียบใบไม้แห้งมาทางนี้
เด็กหนุ่มสีหน้าตึงเครียดหันขวับไปมองพร้อมตั้งท่าเตรียมต่อสู้!!!

ภาพที่เห็นกลับเป็น ภาพที่ทหารหนุ่มถือกระต่ายป่ามาสองตัว
ที่ไหล่ขวาแบกกล้วยป่ากำลังสุกงอมเหลืองทองเครือใหญ่

ทหารหนุ่มไม่พอใจต่อท่าทีระแวดระวังของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ปริปากพูดซักคำ
เดินไปที่กองไฟจัดการย่างเนื้อกระต่ายเงียบๆ เพราะมันเข้าใจเด็กหนุ่มดี
หากเป็นมันบ้าง มันก็ต้องระแวงเช่นกันแต่หากเป็นมันคงต่างกันที่

มันไม่คิดที่จะช่วยศัตรู!!!.......
ด้วยเหตุผลข้อนี้ ทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีจึงไม่ได้นึกโกรธอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ซ้ำหลายวันมานี้เด็กหนุ่มก็อยู่ดูแลมันจนอาการทุเลานับว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงที่มันต้องทดแทน
เด็กหนุ่มกุมดาบสั้นแน่น นั่งข้างๆ กองไฟ มองทหารหนุ่มจัดการย่างเนื้อกระต่ายอย่างแคลงใจ
ทหารหนุ่มโยนกล้วยสุกให้ เด็กหนุ่มก็รับมาทานรอ เนื้อกระต่ายสุก

“ข้าต้องขอบในน้ำใจเอ็งเหลือเกิน... ที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้”
“หมาแมวจะต๋ายข้าก็ยังต้องจ้วย... นี่เป๋นคนตึงคนบ่จ้วยได้จะได...”

เด็กหนุ่มพูดตรงๆ ไม่ปิดบังทำให้ทหารหนุ่มสะดุดในน้ำคำที่อีกฝ่ายพูดด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ถือคุณธรรม
ยิ่งทำให้ทหารหนุ่มรู้สึกประทับใจยิ่งนัก

“ข้าบอกชื่อข้าไปแล้ว ว่าข้าชื่อขุนสันต์ แล้วเอ็งเล่าชื่อใด...”

“แก้ว...”

เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ ห้วนๆ ผิดวิสัยที่เคยเป็นผู้มีวาจาไพเราะใครได้เสวนาด้วยก็มักจะนิยมชมชอบทั้งรูปกายและน้ำคำ
แต่บัดนี้มันไม่คิดอยากจะเสวนากับอีกฝ่ายเท่าใดนัก ถึงแม้จะมีความรู้สึกบางอย่างที่ดีขึ้นมาบ้าง

แต่เพราะเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ ทั้งบาดแผลที่ต้นแขนซ้ายที่ใช้ผ้าพันไว้
ทั้งเรื่องที่ต้องพลัดพรากจากเมืองแมนและจะขื่อ ล้วนก็ด้วยทหารแห่งกรุงศรีฯ ทั้งนั้น
เด็กหนุ่มลูบตรงผ้าที่พันไว้ด้วยความรู้สึกเจ็บและอักเสบ ทหารหนุ่มเห็นก็นึกเห็นใจ
แต่ที่มันโดนแทงจนใส้แทบทะลุ ก็ถือว่าเป็นการแลกกันคนละ 1 แผล ถือว่าหายกัน

“แก้ว... ชื่อเพราะนัก... เจ้าเป็นชาวเวียงนี้รึ”
“ข้าบ่าใจ้คนเวียงโกศัย... ข้าเป๋นชาวเวียงนพบุรีฯ ข้ากับ... เอ่อ...อ้ายจายของข้าสองคนแค่เดินทางผ่านมาตาง(ทาง)เวียงนี้”

เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งงัน รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาในทันทีเมื่อเอ่ยถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน
เมื่อเริ่มรู้สึกอุ่นๆ ที่ขอบตาจนต้องหันไปทางอื่นเพราะไม่อาจให้ศัตรูที่มันได้ช่วยชีวิตไว้เห็นได้
กำลังจะลุกเดินไป พลันทหารหนุ่มก็ร้องลั่น!!!

“ระวัง!!!...”

ท่อนฟืนที่มีไฟกำลังลุกแดงโชติช่วงพุ่งหลาวมาทางเด็กหนุ่มแต่พอหันไปมองท่อนฟืนที่มีไฟลุกไหม้นนั้น
ก็ฟาดถูกงูจงอางตัวใหญ่ยาวที่เกือบจะฉกเด็กหนุ่มเกี้ยวขดดิ้นกระแด่วๆ อยู่เบื้องหน้า
ไม่นานก็ถูกไฟลุกไหม้จนเหม็น กลายเป็นงูย่างไป!!!

ไอ้แก้วพอเห็นเหตุการณ์ก็ถึงกับหน้าซีดเผือด! เข่าอ่อน เพราะงูคือสัตว์ที่มันเกลียดและกลัวนักหนา
เด็กหนุ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาเม็ดโป้งๆ เต็มหน้า แล้วทันใดนั้น ร่างมันก็ล้มตึง!

“ไอ้แก้ว!!!...”

ก่อนสติจะหยุดการับรู้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงขุนสันต์ร้องเรียกมัน แล้วเข้ามาประคอง
แล้วสมองมันก็ดับวูบ!!!

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเช้าของอีกวันมันคลำดาบสั้นก่อน เมื่อพบว่ายังอยู่ก็เบาใจ
ต้นแขนซ้ายที่ถูกผ้าพันไว้ลวกๆ ถูกผ้าที่สะอาดกว่าพันไว้แทนค่อนข้างปราณีต
จนเด็กหนุ่มรู้สึกดีกับทหารหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาอีกมากโข

มันมองหาทหารหนุ่มก็เห็นมันเปลือยร่างท่อนบน ส่วนเสื้อเปลื้อนเลือดนำไปซักและตากไว้ริมแม่น้ำ
เห็นแผ่นหลังของเจ้าผู้นั้นแกร่งกำยำล่ำสันน่าชม มันกำลังย่างเนื้อกระต่าย แถมยังได้ปลาตัวใหญ่มาอีกหลายตัว
กำลังถูกย่างจนกลิ่นหอมฉุย! ลอยมายั่วน้ำย่อย ชวนน้ำลายสอ
เด็กหนุ่มเสียงท้องร้องดัง จ้อก! ทำให้ทหารหนุ่มรับรู้ว่าคนที่หมดสติไปตั้งแต่เย็นเมื่อวานตื่นแล้ว

ขุนทหารแห่งกรุงศรีฯ นึกขำในใจ

“เจ้าตื่นแล้วรึ... กินเนื้อปลาย่างนี้สิ... จะช่วยทำให้เจ้ามีกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง...
คงเป็นเพราะหลายวันมานี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนและไม่ได้ทานเนื้อสัตว์เลย... ร่างกายจึงอ่อนเพลีย”

ทหารหนุ่มยกปลาย่างให้ทั้งไม้แต่เด็กหนุ่มก็ไม่มีแรงกินเหมือนมือไม้มันสิ้นเรี่ยวแรงก็ไม่ปาน
ทหารหนุ่มเข้าใจอาการของเด็กหนุ่มจึงป้อนเนื้อปลาให้กับคนที่ดูแลมันมาหลายวันเป็นการตอบแทน
เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกๆ และกระดากอยู่บ้าง ที่คนที่เกือบจะฆ่ากันต้องมาคอยดูแลกันไปมาอย่างนี้

“ขอบใจ๋นักๆ เน้อ... เมื่อใดเอ็งหายดีก่อจงไปตามทางของเอ็งเต๊อะ...”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย เพราะเป็นจริงอย่างที่ทหารหนุ่มพูด
ที่ว่าร่างกายมันอ่อนเพลียเพราะขาดสารอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มานานหลายวัน
ซ้ำยังต้องคอยอยู่ดูแลคนป่วยอย่างมันมาหลายวัน

ทหารหนุ่มก้มหน้ามองใบหน้ารูปงามของเด็กหนุ่มด้วยอารมณ์ประหลาดล้ำ!

“เอ็งช่วยชีวิตข้าเอาไว้...ชีวิตข้ารอดมาได้เพราะเอ็ง ชายชาติทหารแห่งกรุงศรีฯ
ยึดถือบุญคุณชัดเจน...ข้าจะช่วยเจ้าตามหาพี่ชายของเจ้าเมื่อเจอแล้วข้าถึงจะกลับ!!!...”

มันพูดออกมาอย่างอาจองน้ำเสียงห้าวหาญ น่าชื่นชมจนไอ้แก้วก็เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ
ยิ่งตอนนี้มีแผ่นอกแข็งแรงของมันมาโอบไว้ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกใจคอวาบหวิวอย่างน่าประหลาด

หัวใจเต้นแรง

ตึ่กตักๆ!!!.....

ทั้งสองจ้องตากันแน่นิ่ง ช่างน่าแปลก...ในตายตาของเด็กหนุ่มตอนนี้ไม่ได้นึกรังเกียจ หรือโกรธแค้นอีกฝ่ายเลยซักนิด
แต่กลับเกิดความรู้สึกอบอุ่นและเชื่อมั่นในตัวมันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
บัดนี้มันมีโอกาสพิจาณาใบหน้าหล่อคมคายสมบุรุษของขุนสันต์ทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีฯ
ว่ามันเป็นบุรุษที่หล่อเหลาคมคายคิ้วเข้ม ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับได้รูป

ส่วนทหารหนุ่มเองก็เผลอจ้องมองคนที่เอนหลังอยู่กับอกอย่างเผลอไผล
ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดมันถึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มวัยเพียง 20 ปีตรงหน้า ว่ามันผู้นี้ช่างงามนัก...

มันรู้สึกว่าปากริมฝีปากของคนที่อยู่ในอ้อมกอดช่างสวยงาม น่าจุมพิตยิ่งนัก
และผิวของเด็กหนุ่มขาวละเอียดจนอยากสัมผัสหัวใจมันเต้นแรงร่างกายเริ่มร้อนด้วยความรู้สึกประหลาดล้ำ!
ในที่สุดขุนสันต์ทหารหนุ่มก็เผลอเอามือมาลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่มไปมาอย่างลืมตัว
ความเนียนนุ่มลื่นมือนั้นทำให้มันเหมือนเกิดอารมณ์บางอย่างแห่งความเป็นชาย!!!

เด็กหนุ่มถูกสัมผัสผิวหน้าจึง สะดุ้ง!!! จนทหารหนุ่มเองก็ตกใจต่อการกระทำของตัวเองเช่นกัน

“ข้าๆๆ... ข้าขอโทษ!!!”

ทหารหนุ่มตะกุกตะกักแล้วรีบลุกเดินหนีไปที่หาดทรายเหมือนคนเสียสติ!
ที่ทำให้มันเผลอแตะต้องและคิดกับเด็กหนุ่มหน้างามคนนั้นเกินกว่าที่ชายกับชายจะควรกระทำ
มันโกรธตัวเองที่เผลอทำสิ่งที่น่ารังเกียจไม่รู้ด้วยอำนาจของผีห่าซาตานใด

ซ้ำร้ายมันยังคิดๆๆ ... มันคิดอยากจะสัมผัสเรียวปากนั้นด้วยปากของมันเอง........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น