หลังเสร็จศึกกรุงศรีฯ บรรดาขุนทหารทั้งน้อยใหญ่ต่างก็ได้รับความดีความชอบ
ได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากการประกอบราชการสงครามไม่เว้นแม้แต่พลเรือนอย่างไอ้แก้วและจะขื่อ
ที่อาสาสู้ศึก ณ เวียงโกศัย! ผู้ที่เป็นไพร่(ราษฏร) หาใช่ทหารเจนสนามศึก
จึงได้รับการอวยยศทางทหาร ขึ้นเป็น“นายซาว” (นายยี่สิบ) เป็นกรณีพิเศษ
โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากทหารพลทหาร
ความสูงส่งของทหารยศ “นายซาว”(นายยี่สิบ) นี้นับว่าไม่ต่ำทรามเลย
เพราะจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาอันมีตำแหน่ง“นายสิบ” คอยอยู่ใกล้ๆ รับใช้ถึง 2 นาย!
อันจะเป็นมือขวา และมือซ้ายให้แก่นายซาวนั่นเอง
นอกจากนี้นายซาวยังต้องมีแรงงานไว้คอยรับใช้ในราชการนายซาวจึงมี “ไพร่ชาย”
ไว้เป็นบริวารอีกถึง 20 คน โดยจะมี “ข่มกว้าน” เสมือนเป็นเลขาส่วนตัวอีก 2คน
ไว้คอยประสานงานเรียกใช้ไปยังไพร่ชายทั้งหลายนั้น
ทำให้การรับยศในครั้งนี้จะมีบริวารในการดูแลถึง 24 นาย!
และหากฝีมือดีมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ก็จะสามารถขยับเลื่อนชั้นยศ
ขึ้นเป็น นายห้าสิบ นายร้อย ขุนพัน เจ้าหมื่น สูงขึ้นๆ ไปตามลำดับ
ไอ้แก้วแม้จะรู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติยศ “นายซาว” ในครั้งนี้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่พ่วงมาด้วยถึงยี่สิบกว่าคนนี้
กลับทำให้มันลำบากใจยิ่งนัก เพราะนับตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ก็ไม่เคยมีคนคอยตามรับใช้อย่างนี้มาก่อน
ส่วนจะขื่อไม่ขอรับตำแหน่งทางทหารใดๆด้วยมันมีนิสัยรักอิสระตามตามวิสัยของพรานป่า
เมืองแมนนั้นปลื้มปิติอย่างยิ่งนักที่คนรักของมันได้รับยศทางทหารในครั้งนี้
เพราะ “นายซาวแก้ว” นั้นเป็นทั้งชายคนที่มันรักและยังเป็นทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมันผู้มีตำแหน่ง“ขุนพัน” ด้วย
ค่ำคืนที่มีการเลี้ยงฉลองในวันรับตำแหน่งทั้งสองต่างพูดคุยและให้สัตย์สัญญาต่อกันเป็นมั่นเหมาะ
“อ้ายจงให้สัตย์แก่ข้าว่านับแต่นี้ไปตึงตัวจะต๋ายแต่เฮาจะบ่าแยกจากกันแห็ม!!!”
“อ้ายหื้อสัญญา!”
เมืองแมนดึงร่างแกร่งแต่เนียนงามนั้นมาโอบกอดพร้อมลูบใบหน้าหล่อเหลาของไอ้แก้วอย่างรักใคร่
ร่างกำยำทั้งสองลูบไล้ไปตามตามร่างกายของกันและกันอย่างปรารถนาในรสรัก
เมืองแมนโน้มร่างของไอ้แก้วลงบนที่นอนช้าๆแล้วทั้งสองก็กอดจูบกันอย่างเร่าร้อน
เรียวลิ้นของทั้งคู่เกาะเกี่ยวกันไปมาราวเถาวัลที่พันเกี่ยวจนแนบแน่น
ร่างกำยำของผู้อาวุโสกว่าขึ้นประกบบนร่างขาวเนียนของไอ้แก้วอย่างกระหาย!
มันเฝ้ากอดจูบไปมาตามใบหน้าหล่อเหลาของไอ้แก้วอย่างหลงใหล
สองมือของไอ้แก้วโอบกระหวัดรัดร่างแข็งแรงงามแกร่งไปด้วยมัดกล้ามอย่างมีความสุข
บัดนี้อาวุธของทั้งสองชูชันพร้อมรบแล้ว!
ไอ้แก้วปรารถนาในสิ่งนั้นของเมืองแมนยิ่งจึงเอื้อมมือไปกำอย่างกระหาย!
พร้อมถอดเตี่ยวของอีกฝ่ายออกจากกายอย่างใจร้อน
“อ้ายเมือง!!!ข้าต้องการอ้าย!!!”
“อ้ายก็อยากเอาน้องนักขนาด!!!”
ต่างโอ้โลมกระซิบรักกันอย่างเร่าร้อนจนเมืองแมนมีความต้องการถึงขี้ดสุดจึงจับไอ้แก้วให้นอนคว่ำหน้า
แล้วประกบทางด้านหลังสอดอาวุธคู่กายที่แข็งแรงแกร่งตระหง่าน!!! เข้าในกายชายคนรักที่งามราวเทพบุตรอย่างฮึกเหิม!!!
“อ๊า!!!...อ้ายเมือง!!!”
ทหารหนุ่มนึกว่าทำให้ชายคนรักเจ็บปวดจึงถามด้วยความอ่อนโยน
“น้องเจ็บก๋า?”
“ข้าบ่าได้เจ็บ...แต่ข้ากำลังมีความสุขจ๊าดนัก!!!”
ทหารหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดูแล้วเริ่มโยกร่างกายพร้อมขยับอาวุธขนาดใหญ่
เข้าสู่ถ้ำทองของไอ้แก้วอย่างพอใจในความกระชับและคับแน่นนี้!
“อืมมม!!!...”
เมืองแมนครางเบาๆ ในลำคอแต่ร่างกายไม่ได้หยุดประกบประตูหลังของไอ้แก้วแม้ซักวินาที
ความสุขที่ได้รับจากประตูหลังเด็กหนุ่มนั้นมากมายจนมันแทบสำเร็จความสุข!
ไอ้แก้วเสียวจนต้องหันหน้ามาจูบกับเมืองแมนสองร่างกอดเกี่ยวกระหวัดรัดรึงราวกับงูสองตัวเสพสมกัน
อาวุธขนาดกำลังงามของไอ้แก้วถูกเมืองแมนจับชักตามจังหวะของร่างกายที่โยกย้ายส่ายกระเด้า!
ความเสียวจากน้ำมือของเมืองแมนทั้งทางด้านหลังและทางอาวุธนั้นสุขจนล้นร่างกายของไอ้แก้วเหมือนได้รัการปลดปล่อย!
เพียงไม่นักหนุ่มรูปงามก็ทะลักน้ำแห่งความสุขด้วยมือของทหารเอกแห่งล้านนา!!!
“อ๊ะ!!!:ซี้ดดด!!!”
พอไอ้แก้วสำเร็จความสุขเมืองแมนก็เร่งกระแทกอย่างรุนแรงจังหวะหนักเน้น
จนทำให้อาวุธของไอ้แก้วไม่อ่อนลงตามสายน้ำที่ออกจากร่างกาย
“ฮึ่มม!!!...อุ๊!...อูยยยย!!!”
เมืองแมนร้องครางหมือนจวนเจียนจะสำเร็จสุข!
ไอ้แก้วดึงหน้าชายคนรักมากอดจูบอย่างมีความสุขในรสรักอ้อมกอดที่รัดรังนี้
จนกระทั่งเมืองแมนทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วมันจึงกดร่างกายที่บางกว่าของชายคนรักให้คว่ำหน้ากับที่นอน
พร้อมกระทุ้งร่างกายส่วนกลางอย่างหนักหน่วงเป็นครั้งสุดท้าย!!!
“โอ้ยยยย!!!...ซี้ดดดดด!!!”
น้ำแห่งความสุขของเมืองแมนทะลักเข้าในร่างกายของชายคนรักรูปงามอย่างล้นหลาม
แล้วทั้งสองก็ตะกองกอดกันพร้อมกับการพร่ำพลอดรักให้กันอย่างหวานชื่น!!!
ก่อนที่เมืองแมนจะหลับไปในห้วงความคิดของมันนั้นจดจำวาจาของไอ้แก้วในวันนั้นได้เป็นอย่างดี
สัญญาที่ทั้สองจะไม่ยอมแยกจากกันอีกตลอดไป!!!
แม้ว่าบัดนี้ไอ้แก้วไม่ใช่ละอ่อนน้อยเหมือนแต่ก่อนที่มันจะต้องคอยปกป้อง
เพราะตอนนี้ไอ้แก้วหรือ “นายซาวแก้ว” มีฝีมือการต่อสู้ที่กล้าแข็งยากที่ใครจะทำอันตรายแก่มันได้ก็ตาม
แต่มันนั้นตั้งใจมั่นว่านับจากนี้ไปเมื่อหน้ามันคือคนที่จะปกป้องไอ้แก้วไม่ให้หน้าใหนมาทำอันตรายชายคนรักมันได้อีก
..................................................................................
อันตำแหน่งทางทหารล้านนานั้น การจะได้รับตำแหน่งแต่ละตำแหน่งมานั้น
ล้วนต้องประกอบความดีความชอบก็โดยเฉพาะในราชการสงคราม
ทหารล้านนาในยุคนั้นจึงเหี้ยมหาญ และฝีมือไม่เป็นรองทหารของอาณาจักรใด
จนสามารถรวบรวมแว่นแคว้นน้อยใหญ่รวมกันเป็นอาณาจัรกล้านาได้ในที่สุด!
ลำดับขุนนางฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนในสมัยอาณาจักรล้านนารุ่งเรือง
ขุนนางฝ่ายทหารหรือฝ่ายควบคุมกำลังพลปรากฏลำดับขั้นดังนี้
นายตีน นายม้า นายช้าง (ประจำกองสัตว์)
นายสิบ นายซาว(นายยี่สิบ) นายห้าสิบนายร้อย ขุนพัน เจ้าหมื่น เจ้าแสน และ พญา
โดยแบ่งหน้าที่ต่างกันดังนี้
ไพร่ 10 คน อยู่ในความดูแลของนายสิบ 1คน ให้มี “ข่มกว้าน” เป็นผู้ประสานงานกับไพร่ 1 คน
นายสิบ 2 คน ให้อยู่ในความดูแลของนายซาว (นายยี่สิบ) 1คน
นายสิบ 5 คน ให้อยู่ในความดูแลของนายห้าสิบ 1 คน มีปากซ้ายขวา 2 คน เป็นผู้ช่วย
นายห้าสิบ 2 คน ให้อยู่ในความดูแลของนายร้อย 1คน
นายร้อย 10 คน ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพัน 1คน
ขุนพัน 10 คน ให้อยู่ในความดูแลของ ขุนหมื่น หรือ เจ้าหมื่น1 คน
เจ้าหมื่น 10 คน ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าแสน 1คน
เจ้าแสน ทั้งหมดให้อยู่ในความควบคุมดูแลของ “พญา” หรือกษัตริย์ หรือเจ้าหลวง
เมื่อเข้ารับตำแหน่ง “นายซาว” หลายเดือนไอ้แก้วจึงมีโอกาสใช้ชีวิตในกองทัพด้วยความตั้งใจมั่น
ทุกวันมันจะออกไปร่วมฝึกเพลงอาวุธกับเมืองแมนและขุนทหารนับร้อยนับพัน
ต่อสู้กันอย่างจริงจังแทบจะไม่มีการออมฝีมือให้แก่กัน
ด้วยกองทัพหลวงของล้านนาน ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน “เจ้าเมืองเขลางค์” นั้น
ล้วนอาจหาญ เจนฝีมือ และล้วนมีกฎระเบียบวินัยที่เคร่งครัดยิ่งนัก
เพราะต้องเตรียมกำลังของกองทัพล้านนาให้พร้อมที่จะสู้ศึกกรุงศรีฯในคราวต่อไป
หากแม้นว่ามีศึกต่างอาณาจักรมาประชิดในวันข้างหน้า!
ความลำบากยากกายนั้นสุดจะบรรยาย! สำหรับพลเรือนที่พึ่งย้ายมาเป็นทหารอย่างไอ้แก้ว
ยิ่งต้องฝึกฝนอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าทหารคนอื่นๆอีกเท่าตัว!
เพื่อไม่ให้เกียรติที่มันได้มามีคำครหาและด่างพร้อยจนเหล่าทหารติฉินได้ว่าได้มาโดยโชคช่วย
มิหนำซ้ำจะได้ไม่เสียชื่อไปถึงชายคนรักนามเมืองแมนของมันผู้เป็นอาจารย์คนแรกในการสอนวิชาต่อสู้ให้แก่มัน
ซึ่งข้อหลังนี้มันยอมให้เมืองแมนถูกประณามลบหลู่เกียรติหาได้ไม่
ความลำบากในค่ายทหารนั้นชายหนุ่มสู้กัดฟันอดทนไม่มีปริปากบ่น
กลางแดดร้อนที่แผดเผาจนผิวที่เคยขาวเนียนไร้ไฝฝ้ากลายเป็นสีแดงยามต้องแดนเป็นระยะเวลานานหลายเดือน
จากเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนร่างกายที่สง่างามราวประติมากรรมชิ้นเอก
บัดนี้วันเวลาเปลี่ยน เด็กหนุ่มถูกเปลี่ยนสรรพนามเป็นชายหนุ่มด้วยเติบโตขึ้นป็นหนุ่มฉกรรจ์เต็มตัว!
นายซาวแก้ว สู้อดทนฝึกการใช้กำลังต่อกรกันแบบชายชาติทหารล้านนา
ทั้งชั้นเชิงการต่อสู้แบบระยะประชิดตัวทั้งหมัดมวย และอาวุธหลากหลายชนิด
สามารถฝึกฝนจนช่ำชอชำนาญทั้ง หอก ดาบ กระบี่ ธนู กระบอง ธนู ง้าว โล่ห์ ฯลฯ
อาวุธที่ “ไอ้แก้ว” ถนัดที่สุดนั้นคือ “หอกยาวปลายแหลม” อันเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้ระยะไม่ใกล้ไม่ไกล
คนก็งามอยู่แล้วยิ่งเมื่อร่ายรำหอกอยู่กลางสนามประลองก็ยิ่งงามและห้าวหาญยิ่งนัก!!!
ผลของการฝึกฝนอย่างหนักไม่ย่อท้อทั้งฝึกจากเมืองแมนโดยตรงฝึกจากขุนพันที่เป็นเพื่อนทหารของเมืองแมน
ยิ่งทำให้ไอ้แก้วได้เรียนรู้ว่าการจะเป็นขุนพันขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่แค่เรื่องโชคช่วย
อยู่ในกองทัพได้ 6 เดือนจะมีการประลองอาวุธกันเองภายในกองทัพ
ซึ่งเป็นการประลองความสามารถโดยไม่แบ่งแยกชนชั้นว่าสูงหรือต่ำ หากแม้นมีความสามารถก็จะได้รับการยอมรับ
เนื่องด้วยมีขุนทหารนับร้อย นับพัน มาเป็นประจักษ์พยานกันถ้วนทั่ว
ครั้งนั้นไอ้แก้วอาสาออกประลองกับ "นายร้อยจ๊าง" (ช้าง) เป็นนายร้อยผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของขุนพันท่านอื่น
กิติศัพท์ของนายร้อนท่านนี้นั้นเด่นดังเรื่องดาบคู่ ไอ้แก้วที่ถูกฝึกฝนเคี่ยวกรำจากเมืองแมนอย่างหนัก
ก็อยากจะลองฝีมือที่ได้ฝึกฝนมาตลอด 6 เดือน จึงเข้าประลองโดยมีเสียงโห่ร้องกึกก้อง!!! สร้างความฮึกเหิมทั่วสนามกว้างใหญ่
ด้วยรูปโฉมของไอ้แก้วที่รูปงามปานเทพบุตร ผิวกายที่เคยขาวเนียนแม้บัดนี้จะถูกแดดแผดเผาจนแดงก่ำไปทั้งกาย
แต่ความหล่อเหลาก็ยิ่งฉายแววแห่งบุรุษเพศที่โตเต็มวัยแกร่งกล้าด้วยกายกำยำ สง่างามด้วยบุคลิกภาพที่ล้ำเลิศ
ทหารคนใดที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของ "ขุนพัน" คนอื่่นเมื่อไม่รู้จักต่างก็ถามกันเป็นที่เซ็งแซ่ถึงความเป็นมมของมัน
"มันผู้นี้จะได๋มารูปงามแต๊!!...มันเป็นไผ"
"มันอยู่ในบังคับของขุนพันเมืองแมน"
"ฮ้า!!!...ขุนพันเมืองแมน!!!...โอจะอั้นมันต้องมีฝีมือเป็นแน่แต๊!"
"แต่รูปงามจะอั้น...จะสู้นายร้อยจ๊างได้เมินแค่ไหนกั๋น!!!"
ต่างเสียงต่างวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ถึงประวัติความเป็นมาของทหารใหม่รูปงาม
สายตาทุกผู้ต่างมองไปที่การประลองฝีมือครั้งนั้นอย่างลุ้นตามกันว่านายซาวแก้วจะต่อสู้กับนายร้อยจ๊างไปได้นานเพียงใด
เมื่อการประลองเริ่มขึ้นเสียงอาวุธก็ดังกระทบกันเป็นที่่น่าประหวั่น!!!
นายร้อยจ๊างผู้มีเพลงดาบคู่อันลือเลื่องวาดลวดลายเพลงดาบคู่ดุร้ายดูฮึกหาญแสนจะน่าเกรงขาม!!!
สมกับชื่อเสียงด้านเพลงดาบที่ได้ยินไปทั้งกองทัพ ร่างกายที่บึกบึนสูงใหญ่คล่องแคล่วยิ่งนัก
ยามโยกย้ายฟาดฟันดาบไปมา เมื่อฟาดฟันดาบมาที่ไอ้แก้วทุกครั้งล้วนน่า่หวาดเสียวชวนผวาจากคมดาบที่คมกริบ!!!
หากเป็นเมื่อก่อนไอ้แก้วคงมือไม้ลนไปมาไม่อาจต่อสู้ได้ แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์มามากมาย
อีกทั้งการฝึกฝนในกองทัพอย่างหนักจนเจนจบทุกอาวุธทุกการต่อสู้จากการเคี่ยวกรำของเมืองแมนและขุนทหารอีกนับร้อย
ไอ้แก้วจึงดูสงบนิ่งเยือกเย็นยิ่งกว่าหินผา มันร่ายรำหอกยาวฟาดฟันใส่คู่ต่อสู้ได้อย่างสง่างาม คล่องแคล่ว
ความคมของหอกยาวในมือไอ้แก้วนั้นทำเอานายร้อยจ๊างถึงกับตกใจในน้ำหนักของทหารยศนายซาวตรงหน้า!!!
เสียงของหอกหวีดหวิวล้อลมปะทะกับดาบคู่ของ
ขุนพันจ๊างอย่างห้าวหาญ เสียงอาวุธสองอย่างกระทบกันดัง
เคร้งๆ!!! คร้างง!!!
อาวุธหนึ่งยาว หนึ่งสั้น ฟาดฟันปะทะกันอย่างรุนแรง ด้านน้ำหนักของไอ้แก้วแม้ไม่สู้อีกฝ่าย
แต่มันก็ได้เปรียบเรื่องความว่องไวของร่างกายจึงไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อย!
ลีลาการต่อสู้ของทั้งสองก็องอาจสวยงามยิ่งดูจากสายตาทุกคนล้วนลงความเห็นว่า
ไอ้แก้วแม้เป็รองด้านร่างกายที่บางกว่าแต่ฝีมือกลับไม่ได้เป็นรองเลยทั้งการฟาด ทิ่ม หวด!!!
ทำให้ขุนพันจ๊างก็ไม่อาจทำอันใดนายซาวแก้วได้เหมือนกัน
การต่อสู้ผ่านไปร่วมชั่วโมงทั้งสองฝ่ายต่างไม่อาจทำอันตรายกันได้แม้แต่ผิวกาย
นับเป็นการต่อสู้ที่ทำให้ทุกผู้ต่างปรบมือดังก้องด้วยความชื่นชมยิ่ง
จึงจบการประลองด้วยเพียง “เสมอกัน” ในครั้งนั้นบรรดาขุนทหารทั้งหลายจึงประจักษ์แก่สายตาว่า
ไอ้แก้วนั้นแม้รูปกายงามแต่ฝีมือกับแกร่งกล้าไม่เป็นรองทหารยศที่สูงกว่า!!!
ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็เข้าไปคารวะนายทหารผู้มียศสูงกว่าอย่างมีสัมมาคารวะ
“ข้าขอขอบใจท่านนายร้อยจ๊าง...ที่ช่วยออมมือให้แก่ข้า”
“นายซาว...ท่านก็พูดเกินไป...ฝีมือท่านนั้นเยี่ยมยอดยิ่งนัก...
ด้วยฝีมือขนาดนี้ในอนาคตข้าเชื่อว่าท่านต้องเป็นยอดขุนทหารแห่งล้านนาเป็นแน่แต๊!!!”
ขุนพันจ๊างเข้ามาตบไหล่ของไอ้แก้วอย่างพอใจในตัวคู่ต่อสู้ที่มันเองไม่อาจเอาชนะได้
มันเองก็นึกขอบใจนายทหารยศนายร้อยตรงหน้า ผู้แม้จะมีตำแหน่งสูงกว่าแต่กลับมีน้ำใจนักกีฬายิ่ง
เมืองแมน จะขื่อ และพันเฮือง ที่ยืนลุ้นมาตั้งแต่ต้นล้วนดีใจยิ่งที่เด็กหนุ่มร่างงามที่ดูภายนอกเหมือนเป็นรอง
แต่กลับต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม!!!
และครั้งนั้นทหารทั้งน้อยใหญ่จึงเรียกไอ้แก้วในอีกชื่อว่า "นายซาวงาม" ไปโดยสิ้นเชิง
.............................................................
การที่มันเข้ารับราชการทหารในกองทัพของเจ้าหลวง โดยมีแม่ทัพใหญ่เป็นเจ้าเมืองเขลางค์นครนั้น
ทำให้หนานอินผู้เป็นพ่อก็ไม่กล้าเร่งรัดเรื่องการกิ๋นแขกด้วยว่าจะก้าวก่ายเรื่องของกองทัพ
การแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด!
แต่นั่น!!! มันจะประวิงเวลาแต่งงานไปได้อีกนานซักแค่ไหนกัน เพราะความจริงที่ไม่อาจจะหนีพ้น
นั่นก็คือ มันมีคู่หมายแล้วคือ“แม่ญิงพะยอม” แม่ญิงผู้งดงามอ่อนหวานปานดอกบัวแรกผลิ!
วันเดือนผ่านไปมันก็รับรู้ได้ว่าแม่ญิงมีใจต่อมันจริงๆเพราะนางใช้ให้คนนำของฝากมากำนัล
อยู่ไม่ได้ขาด ทหารหนุ่มก็จะฝากข้อความถึงคู่หมายให้คนของนางกลับไปแจ้ง
“ฝากบอกเจ้านายเอ็งตวยว่าข้าขอบใจ๋จ๊าดนักเน้อ!”
“แม่ญิงเปิ้นฝากมาแจ้งต่อนายซาวแก้วโตยว่า...หากแม้นนายซาวพอจะมีเวลาพ่อง...ขอหื้อแวะไปเยี่ยมเยียนแม่ญิงเปิ้นแห็มขอรับ”
คนของแม่ญิงกล่าว
“เอ็งจงไปแจ้งต่อแม่ญิงว่า...ถ้าข้าว่างเว้นจากการฝึกซ้อมเมื่อใด...ข้าจะแวะไปเยี่ยมแม่ญิง...
ตอนนี้เอ็งจงปิ๊กเฮือนเต๊อะข้าจะต้องไปซ้อมอาวุธแล้ว”
“ขอรับ”
เมื่อไพร่ประจำเรือนของคู่หมายกลับไปทหารหนุ่มก็ถึงกับทอดถอนใจ
แม้จะพยายามวิ่งหนีสิ่งที่ชายหนุ่มกลัวก็ยิ่งวิ่งเข้าหาราวกับเป็นกรรมเวรแต่ชาติปางก่อนก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มทอดถอนหายใจมองขึ้นไปบนฟ้าความอัดอั้นนี้คงช่วยด้วยด้วยการฝึกซ้อมอย่างหนักเท่านั้น!!!
นับตั้งแต่รับตำแหน่งทางทหารเป็น“นายซาวแก้ว” นั้น ไอ้แก้วก็มีหน้าที่ดูแลคนใต้บังคับบัญชาของมัน
ตามมาถึง 24 ชีวิต! อันเป็นนายทหารยศนายสิบ 2 นาย ข่มกว้าน 2 คน และไพร่อีก 20 คน
หน้าที่อีกอย่างหนึ่งหลังเสร็จสิ้นการฝึกของนายทหารก็คือต้องเจียดเวลาไปดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอีกด้วย
นายสิบสองคนผู้มาเป็นมือซ้ายมือขวาของนายซาวแก้ว ชื่ออ้ายผา กับอ้ายคง
"อ้ายผา" หน้าตาละอ่อนผิวกายค่อนข้างขาวท่วงท่าแคล่วคล่องปราดเปรียวและมีสติปัญญาดี
"อ้ายคง" ร่างกายสูงใหญ่ บึกบึน ใบหน้าคมคายนิสัยสัตย์ซื่อใจร้อนแต่มีความจริงใจกล้าได้กล้าเสีย
ส่วนข่มกว้านอีกสองนาย ชื่อ "อ้ายทน" กับ "อ้ายมุ่ย" ทั้งสองเป็นผู้มีวาจาดี บุคลิกคล่องแคล่ว
เพราะต้องคอยแจ้งข่าวจากเจ้านายไปสู่ไพร่ชายอีกทั้ง 20 คนให้ทราบและทำตามคำสั่ง
ข่มกว้านทั้งสองจะมีหน้าที่ช่วยตรวจตาเรียกพลและดูแลไพร่อีก 20 นายให้กับนายซาว
ส่วนไพร่ชายที่อยู่ในสังกัดของนายซาวแก้วจะมีอายุเริ่มตั้งแต่ 15 ปี จนถึง 35 ปี
ส่วนใหญ่เป็นไพร่ชั้นล่างล้วนจากครอบครัวชาวนาชาวไร่ซึ่งยากที่จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น
จึงจำต้องเป็นไพร่ให้นายทหารยศสูงให้เรียกใช้ตามที่จะสั่งทั้งงานหนักงานเบา
วันนี้เมื่อเสร็จจากการฝึกปรือเพลงอาวุธทราบข่าวจากข่มกว้านทั้งสองว่า
ไพร่ชายคนนึงป่วยไข้ด้วยอาการไข้จับสั่นนายซาวแก้วจึงเร่งไปดูอาการจนถึงที่พัก
เมื่อไปถึงสองทหารนายสิบ มือซ้าย มือขวา ผู้มีรูปกายแกร่งล่ำกำยำ คนนึงขาว อีกคนผิวค่อนไปทางเข้ม
ทั้งสองอยู่ในชุดทหารล้านนา เตี่ยวแดงสั้นๆ ไม่สวมเสื้อ โชว์ลายสักดำงดงามสมชาย
ยืนขนาบข้างของนายซาวรูปงามตลอดเวลา
กับข่มกว้านทั้งสองผู้มีหน้าตาละอ่อนดูน่ามองไม่น้อย และมีร่างกายแกร่งสวยทั้งสองคน
อยู่ในชุดเตี่ยวขาวสวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดอวดต้นแขนกำยำ
พร้อมด้วยไพร่ชายที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของไอ้แก้วที่มีทั้งเด็กหนุ่มวัย 15
ไปจนถึงชายฉกรรจ์จนเป็นหนุ่มใหญ่วัยบึกบึนวัย 35 ปี
ชายฉกรรจ์เกินครึ่งร่างกายกำยำล่ำสันผิวกายขาวเสียเป็นส่วนใหญ่น้อยนักจะผิวคล้ำ
แต่ก็ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงสมกับที่ต้องทำงานแบกหามตามที่เจ้านายสั่ง
นั่งรออยู่พร้อมหน้าก่อนแล้ว เพราะรู้ว่าเจ้านายใหม่จะมาเยี่ยม
เมื่อเห็นที่พักที่ไม่ต่างอะไรกับคอกสัตว์นายซาวแก้วก็ยิ่งรูสึกเวทนาผู้เป็นลูกน้องยิ่งนัก
ร่างที่เห็นคือร่างของเด็กหนุ่มวัยเพียง 16 ปี หน้าตาหมดจดผิวขาวร่างกายผอมบาง
นอนซมบนฟูกด้วยอาการเหมือนเป็นไข้หนาวสั่น หน้าซีด ปากคอสั่น
นาวซาวแก้วสั่งการให้ข่มกว้านหายาสมุนไพรเพื่อทำการรักษา
พร้อมสั่งการให้จัดการเรื่องที่อยู่ของลูกน้องเสียใหม่พร้อมมอบเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
และยารักษาโรคให้ เมื่อเห็นเจ้านายมาเยี่ยมและดูแลเด็กหนุ่มร่างบางก็ถึงกับน้ำตาไหลพราก!
เพราะเจ้านายคนก่อนก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อมันดีเยี่ยงนี้มาก่อน
“ขอให้เจ้านายเจริญๆ ด้วยเต๊อะ!!!”
เด็กหนุ่มผิวขาวร่างบางยกมือไหว้ท่วมหัวน้ำตาซึมนองหน้า
“เอ็งชื่ออ่ะหยัง...แล้วอายุต้อใดแล้ว”
เด็กหนุ่มยังร้องไห้สะอื้นเช็ดน้ำตารู้สึกตื้นตันใจพูดไม่ออกจนเพื่อนไพร่ที่อายุมากกว่าต้องบอกแทน
“มันชื่อไอ้น้อยขอรับนายซาว...ป้อแม่มันตายตั้งแต่เกิดเหตุกบฏกลางเวียงเมื่อหลายปี๋ก่อน...เลยถูกจับมาเป็นไพร่...ชีวิตมันอาภัพแต๊ๆ!!!”
ไอ้แก้วฟังแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นมันเองก็ยังละอ่อนอย่างนี้
เพราะถึงไอ้แก้วจะโชคร้ายเพียงใดที่ถูกจับไปเป็นทหารในตอนนั้น แต่ก็ยังโชคดีเหลือหลายที่ได้เมืองแมนมาคอยช่วยเหลือไว้
และพาไปหาเจ้านายที่ดีที่ประเสริฐ เจ้านายก็ชุบเลี้ยงอย่างดี ให้ที่อยู่ ให้อาหาร เสื้อผ้าดีๆ
ที่สำคัญที่สุดก็คือการได้พบกับชายคนรักอย่าง "เมืองแมน!!!"
จึงรู้สึกสงสารในชะตากรรมของเด็กหนุ่มนามว่า “ไอ้น้อย” คนนี้ยิ่งนัก
“เอ็งจงรักษาตัวเก่า(ตัวเอง)หื้อหายไวไว...เมื่อหายดีแล้วบ่าต้องทำก๋านหนักแบกหาม...เอ็งจงไปคอยรับใช้ข้า!”
เด็กหนุ่มนามว่าน้อยตื้นตันถึงที่สุด รีบประคองร่างกายที่กระปรกกระเปรี้ยลงมากราบแทบเท้าของไอ้แก้วอย่างตื้นตันใจ
“นายซาวแก้ว...ข้าเจ้าจะบ่าลืมบุญคุณของเจ้านายเลยเจ้า!!!”
"ชีวิตมันก็เป็นจะอี้มีสุขมีทุกข์ปะปนกันไป...ขอเพียงเอ็งจงอดทนและเข้มแข็งเอ็งก็จะผ่านพ้นความลำบากไปได้เองฮู้ก่อ!"
ไอ้แก้วก็ลูบศรีษะของเด็กหนุ่มผิวขาวนั้นอย่างเวทนา แล้วหันไปกล่าวแก่ลูกน้องทุกคนให้ได้ทราบโดยทั่วกัน
“ต่อไปนี้เฮาก็ลงเรือเดียวกันแล้ว...ถ้าเมื่อใดที่พวกสูมีเรื่องคับข้องหมองใจ๋ก็จงบอกหื้อข้าฟัง...
เพราะพวกเอ็งคือคนของข้า...คือคนล้านนาตวยกันทั้งนั้น”
ทุกคนพอได้ฟังก็ยกมือไหว้เจ้านายคนใหม่อย่างปลื้มปิติยิ่ง!
นาทีนั้นสายตาของทุกผู้จึงต่างชื่นชมยินดีต่อความเมตตาของเจ้านายคนใหม่ยิ่งนัก
“อ้ายผา... อ้ายคง... ต่อไปพวกท่านทั้งหลายจงอย่าใช้งานพวกมันหนักเกินไป...อ้ายทน...อ้ายมุ่ย...
ช่วยดูเรื่องกิ๋นอยู่หลับนอนของพวกมันทั้งหลายหื้อดีตวยเน้อ”
“ขอรับ...นายซาวแก้ว!!!”
นายสิบทั้งสอง และข่มกว้านรับคำด้วยความปิติ
แล้วนายซาวแก้วก็เดินกลับเรือนพร้อมด้วยนานสิบทั้งสองที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
เมื่อออกมาจากที่พักของไพร่ใต้บังคับบัญชาไอ้แก้วรู้สึกเหมือนร่างกายเหนื่อยล้ายิ่งนัก
เพราะตลอดทั้งวันก็ฝึกปรืออาวุธในกองทัพพอตอนเย็นก็มีภารกิจเยี่ยมเยียนลูกน้องที่ป่วยไข้อีก
เมื่อถึงเรือนของนายซาว ไพร่ในเรือนก็จัดหาสำรับกับข้าวมาให้แก่นายซาว อ้ายผา อ้ายคง ทั้งสามได้กินพร้อมหน้ากัน
กินข้าวกันไปต่างก็พูดคุยกันถึงเรืองลูกน้อง
ทหารมือขวา และซ้ายทั้งสองของไอ้แก้วก็รับปากจะดูแลให้ไม่ให้ไพร่ได้รับความยากลำบาก......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น