วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 17 ศึกล้านนา-กรุงศรีฯ เริ่มต้น (โหด เลือดสาด!!!)

แสงตะวันโพล้เพล้ ฟ้าแดงฉานปานสีเลือดสลับกับเมฆดำๆ นับเป็นเวลาผีตากผ้าอ้อม
ทัพของกรุงศรีอยุธยาก็ยกมาถึงเวียงโกศัยดังที่คาดการณ์ไว้!!!

เสียง ช้าง ม้า เสียงแตร เสียงทหารฮึกเหิมดังกึกก้องหน้าประตูเมือง แสนยานุภาพของกองทัพกรุงศรีอยุธยาอันเกรียงไกร!!!
ได้สร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้ทั้งขุนทหารและไพร่ฟ้า ชาวเวียงโกศัยอย่างใหญ่หลวง
ทั้ง เจ้า  และไพร่ฟ้าต่างก็หวาดหวั่นต่อเสียงอึงอลที่เกิดขึ้น

ศึกนั้นถูกเปิดขึ้นหลังจากการเจรจาจากฝ่ายกรุงศรีที่ต้องการให้เวียงโกศัยยอมอ่อนน้อมต่อทัพกรุงศรีฯ
แต่เจ้าหลวงของเวียงโกศัยไม่ยินยอมศึกครั้งนี้จึงเกิดขึ้นโดยทหารฝ่ายกรุงศรียิงปืนไฟเข้ามาภายในกำแพงเมือง
จนเกิดเสียงดังกระหึ่ม!!! สนั่นหวั่นไหวปานเสียงอสนีบาตฟาดลงมาที่พื้นปฏพี
ทั่วทั้งเมืองต่างเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องดูสับสน วุ่นวาย ไปทั่วทั้งเมืองน้อย

ในยุคที่กรุงสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย เจริญรุ่งเรืองเวียงโกศัยเคยอยู่ภายใต้ขอบขัณฑสีมา มาก่อน
ทำให้อาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยทิศเหนือสุดไปจดกับเขตแดนเวียงนันทบุรี
ทั้งสองเมืองจึงเกี่ยวดองกันทั้งโดยการแต่งงานของชนชั้นเจ้านายขุนนาง และไพร่
สองเมืองต่างไปมาหาสู่ค้าขายกันอย่างอิสระ มีความเกี่ยวพันกันสืบมา

จนกระทั่งสุโขทัยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
นี่จึงเป็นอีกเหตุผล ที่กรุงศรีอยุธยาต้องการทวงสิทธิ์อันชอบธรรมที่เคยเป็นของสุโขทัยให้กลับคืนมา
เพียงแต่ ครั้งนี้ไม่คิดครอบครองแค่ "เวียงโกศัย" หากแต่ต้องการครองอาณาจักรล้านนาทั้งสิ้น
จนไปถึงเชียงรุ่ง และเชียงตุง เชียงทอง เลยขึ้นไปถึงแคว้นสิบสองปันนา....

ปืนใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าถูกจุดเพื่อทำลายกำแพงเมืองและประตูเมือง ให้พังทะลายลง
จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และควันไฟดำทะมึนพวยพุ่งปกคลุมไปทั่วทั้งเวียงงาม

ตู้มๆ!!! ตู้มมม!!!
เมืองแมน กับ พันเฮืองอยู่ยันประตูเมืองไว้ ส่วนไอ้แก้วกับจะขื่อได้รับหน้าที่ดูแลเชิงเทินบนป้อมค่าย
แม้เคยผ่านศึกมาบ้างหากแต่เป็นการศึกที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธและร่างกายด้วยความสามารถของร่างกายล้วนๆ
แต่กับปืนใหญ่กระสุนดินดำเยี่ยงนี้นับว่าไอ้แก้วเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก

มันปิดหูเพราะเสียงดังกึกก้องเหมือนเสียงอสุรกายคร่ำครวญอย่างน่ากลัว
ส่วนจะขื่อเองก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เพราะไม่เคยได้ยินเสียงกัมปนาทก้องฟ้าอย่างนี้มาก่อนแต่ก็ไม่ได้กลัวเหมือนไอ้แก้ว
ทหารที่อยู่บนเชิงเทินต่างก็แตกฮือๆด้วยความร้อนที่ปะทุหน้า นายกองโชติยังคุมเชิงบนป้อมอย่างอาจหาญ

“อย่าได้กั๋วพวกมัน...ยันพวกมันไว้หื้อได้!!! พวกเฮาบ่ต้องกั๋วมัน!!!”

เสียงของนายทหารหนุ่มผู้คุมป้อมด้านทิศนี้ร่ำร้องก้องด้วยเสียงอันดัง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
แก่เหล่าทหารหาญแห่งเวียงโกศัย ที่ต่างก็ไม่เคยพบอาวุธอันตรายและมีอำนาจร้ายกาจอย่างนี้มาก่อน
นายกองหนุ่มเมื่อเห็นไอ้แก้วทั้งอุดหูด้งยท่าที่ตื่นกลัวจึงไล่ให้ไอ้แก้วหลบลงไปข้างล่าง
เพราะทางฝ่ายกรุงศรียิงปืนใหญ่เข้ามาน่าอันตรายนัก

“ไอ้แก้วเอ็งจงหลบลงไปข้างล่างบัดเดี๋ยวนี้!”
ไอ้แก้วได้แต่ส่ายหน้า

“ข้าอยู่ข้างบนได้...ข้าจะสู้ร่วมกับชาวเวียงโกศัย”
“เอ็งต้องฟังข้า...ลงไปบัดเดี๋ยวนี้... นี่เป๋นคำสั่งเอ็งได้ยินก่อ...”

นายกองโชติผลักไอ้แก้วให้ลงบันไดป้อมไปด้วยสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเหลือเกิน
เพราะจวนเจียนกำแพงเมืองจะแตกอยู่ไม่นานนัก
ชาวบ้าน ทั้งเจ้า ทั้งไพร่ที่เป็นหญิงต่างก็กรีดร้องกอดกันร้องไห้ดังระงม

ที่เป็นชายต่างก็ช่วยกันต่อสู้กับทหารกรุงศรีอยุธยาอย่างกล้าหาญ
ไอ้แก้วยังไม่ทันลงมาจากป้อมกำแพงเมืองประตูเมองก็ถูกทหารกรุงศรีเผาทำลายจนพังทะลายลงมา
ไม่นานนักทหารกรุงศรีอยุธยาก็แตกฮือกันเข้ามาในเมืองราวน้ำหลาก!

ณ นาทีนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเป็นโกลาหลดูวุ่นวายอลหม่านไปทุกหย่อมหญ้า
เด็กหนุ่มยังจดจำคำของพลทหารทั้งสองนายได้ดีที่ว่าทหารของกรุงศรีตัวดำร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์!
ด้วยที่ว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นชนชาวสยามมาก่อนในชีวิต

ความกลัวแล่นไปทั่วตัวแต่แล้วเมื่อได้เห็นหน้าข้าศึกชัดๆ เด็กหนุ่มก็ทั้แปลกใจและหายตื่นกลัวไปสิ้น
ทหารกรุงทหารกรุงศรีในชุดโจงกระเบนสีมอซอบ้างก็สวมชุดเกราะบ้างก็ไม่สวมเสื้อแบ่งแยกยศชั้นได้เป็นอย่างดี
ศรีอยุธยาก็ไม่ได้แตกต่างจากชนชาวล้านนาเสียเท่าใดแค่ผิวที่คล้ำกว่า
นอกนั้นร่างกายก็กำยำ สูงล่ำ ต่ำเตี้ยไม่ได้ผิดแผกกันเลย

นาทีนั้นเด็กหนุ่มกำดาบแน่นจนปวดหนึบ! พร้อมรอต่อสู้
เห็นเมืองแมนกับพันเฮืองที่ต่อสู้คุมอยู่ที่หน้าประตูเมืองก็รีบวิ่งเข้าไปสมทบ
ทหารกรุงศรีและทหารล้านนาต่างตะลุมบอลเข้าราวีต่อสู้กันอย่างอาจหาญ
เสียงอาวุธดังเคร้งคร้าง!!! เสียงต่อสู้ ฆ่าฟัน ดังระงมไปทั้งเมือง!!!

เมืองแมน พันเฮืองและนายหทารแห่งเวียงโกศัยนับสิบอยู่ในวงล้อมข้าศึก
แม้สถานการณ์ยังไม่ย่ำแย่นัก แต่ถ้าผ่านไปอีกชั่วระยะคงอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะคิด

“อ้ายเมือง...”
ไอ้แก้ววิ่งถือดาบเข้าไปตะโกนก้องเมืองแมนมองมาทางเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง

“ไอ้แก้วหนีไป!!...”
“บ่ไป!!!... ข้าบ่ไปถ้าอ้ายเมืองบ่ไปข้าก็บ่ไป!!!....”

เด็กหนุ่มดื้อดึงไม่ยอมทำตามคำสั่งชายคนรักกำลังจะวิ่งเข้าสู้วงต่อสู้เพื่อช่วยอีกแรง
แต่ยังไม่ทันถึงตัวเมืองแมนก็โดนทหารกรุงศรีร่างกำยำผิวคล้ำจัดวิ่งเข้าหาพร้อมดาบที่ฟันมาอย่างฉิวเฉียด
เสียงหวีดของลมดาบฟาดฟันมาที่ศรีษะอย่างหวาดเสียว

เคร้งงง!!!
ไอ้แก้วฟาดดาบปะทะกับอีกฝ่ายด้วยมือที่ชาสั่นเพราะเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายดูท่าจะเหนือกว่า
แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้สูงใหญ่มากไปกว่าเด็กหนุ่มเลยก็ตาม

แต่คนเคยทำงานในคุ้มกับคนที่เป็นทหารย่อมมีกำลังแตกต่างกัน
ดาบของข้าศึกฟาดฟันลงมาอย่างหนักหน่วง! หวังทำลายชีวิต ไอ้แก้วก็ต่อสู้ฟาดฟันกลับ
ด้วยวิชาการต่อสู้ที่ได้ร่ำเรียนมา

เคร้งงง!!! คร้างงง!!!
เสียงโลหะปะทะกันดังบาดหู เข็ดฟัน เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยสู้ศึกมาก่อนแม้จะสมารถยันคู่ต่อสู้ไว้ได้พักใหญ่
ตามเพลงยุทธที่ได้ร่ำเรียนมา แต่คู่ต่อสู้ไม่คิดจะออมมือเหมือนการฝึกปรืออาวุธกับเมืองแมนและขุนพันทั้งสี่
เรี่ยวแรงที่ฟาดฟันเข้าหาแต่ละคราจึงหนักหน่วงจนน่าหวาดเสียวยิ่งนัก

แต่ถึงแม้จะต้อสู้ได้ยังไม่เพลี่ยงพล้ำแต่ไอ้แก้วก็ยังทำได้แค่การปกป้องตัวเองเท่านั้น
ยังไม่อาจทำอันใดคู่ต่อสู้ได้แม้เพียงซักครั้ง

นั่นยิงทำให้คู่ต่อสู้นึกกระหยิ่มเพิ่มเรี่ยวแรงเพื่อหวังปลิดชีพเด็กหนุ่มให้จงได้
เมืองแมนที่อยู่ในวงข้าศึกนับสิบกำลังเป็นรองมากหลายกระวนกระวายใจสุดแสน
แต่ก็ไม่อาจจะปลีกตัวมาช่วยเด็กหนุ่มได้ดั่งใจ

“ไอ้แก้วระวังเน้อ!!!”
“อ้ายเมือง!!!...”

เด็กหนุ่มหันขวับไปมอง นาทีนั้นมันก็พลาดท่าถูกฟันเข้าที่ไหล่ซ้ายจนบาดลึก! เป็นแผลยาว

“โอ้ย!!!...”

เลือดแดงๆ ไหลอาบแขนขาวๆ ของเด็กหนุ่มในหัวมึนงง ดวงตาพร่าขาว เหมือนเห็นดาวนับร้อยๆ ดวง
แต่กำลังจะโดนฟันลงมาอีกดาบเสียงของใครคนหนึ่งก็ร้องก้อง

“ไอ้แก้ว!!!”

เมืองแมนร้อนใจยิ่งนักรีบฟาดฟันคู่ต่อสู้แล้วกระโดดเข้ามาช่วยไอ้แก้วฟาดฟันศัตรูจนแดดิ้นสิ้นชีพ
พอจัดการข้าศึกได้ทหารหนุ่มก็เข้ามาประคองเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วงล้นพ้น
ร้องถามด้วยความกระวนกระวายใจ

“ไอ้แก้ว...เอ็ง เอ็งเป็นจะได๋พ่อง!!!”

เด็กหนุ่มหน้าซีดชาด้วยความเจ็บปวดจุดที่โดนฟันทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เลือดไหลรินไม่หยุด
เมืองแมนรีบฉีกผ้าออกมาพันห้ามเลือดให้เด็กหนุ่มทั้งสองกุมมือกันไว้อย่างเหนียวแน่นราวกลัวจะพรากจาก  
แต่แล้วทันใดนั้น!!! ก็มีดาบของข้าศึกฟาดฟันมาที่กลางหลังของทหารหนุ่ม
ไอ้แก้วเห็นก็รีบร้องบอกสุดเสียง!!!

“อ้ายเมืองข้างหลัง!!!”

เมืองแมนแทงดาบไปโดยไม่มองคู่ต่อสู้ก็แดดิ้นสิ้นใจด้วยดาบเดียวเลือดแดงๆ สาดไหล
ไอ้แก้วทำได้แค่หลับตาไม่กล้ามองแต่มันก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายแค่ไหน
มันเกิดเป็นแรงผลักดันที่อยากมีชีวิตต่อเพื่อคนที่มันรักและตัวมันเอง

“อ้ายเมืองไปช่วยพันเฮืองกับทหารคนอื่นเต๊อะข้าบ่เป็นหยังแล้ว”

ขุนทหารแห่งเขลางค์นครมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจแต่ก็ยังไม่อาจไว้วางใจในอาการบาดเจ็บ
“ข้าจำวิชาการต่อสู้ที่อ้ายและขุนพันทั้งสี่สอนสั่งได้ดีตอนนี้ข้าฮู้แล้ว ถ้าเฮาบ่าฆ่ามัน มันก็จะฆ่าเฮา!!!”
แววตาเด็กหนุ่มจากอ่อนโยนกลายเป็นแข็งกร้าวจนทหารหนุ่มนึกฉงน!

“ไอ้แก้ว...”

เด็กหนุ่มฝืนกายลุกขึ้นอย่างกล้าหาญแม้ต้องตายในศึกนี้ก็ไม่คิดจะเป็นตัวถ่วงให้กับเมืองแมนอีกต่อไป

“อ้ายเมืองไปเต๊อะ... ข้าบ่เป็นหยัง...”

เมืองแมนขบกรามกร่อดเม้มปากสนิทด้วยความเจ็บปวดใจสุดแสน
ที่มันไม่อาจดูแลเด็กหนุ่มได้ดั่งคำสัตย์ที่เคยให้ไว้

มือของเด็กหนุ่มรูปงามที่ควรจะได้ดีดพิณขับขานลำนำสะล้อ ซอซึง ม่วนๆ
กลับต้องมาจับดาบประหัดประหารชีวิตคน! ช่างน่าเวทนามันแท้ๆ

ในสมองของเด็กหนุ่มเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ทุกคนเกิดมาล้วนมี 1 ชีวิตเท่าๆ กัน
แต่ทำไมต้องมาเข่นฆ่าฟันกันให้ตกตายทำไปเพื่ออะไร
ทันใดนั้นก็มีดาบฟาดฟันมาที่คอของเด็กหนุ่มแต่ก็มีดาบอีกด้ามมารับไว้ก่อนจนเกิดเสียงดัง

เคร้งงงง!!!
“ไอ้แก้วเอ็งจงรีบหนีไป...ตอนนี้กำแพงเมืองแตกแล้ว จงหนีไปเวยๆ!!!...ไปๆๆ”

นายกองโชติ ทั้งผลักทั้งร้องไล่เด็กหนุ่มให้หนีไปพอมันรู้สึกตัวและหันไปมองรอบข้าง
ล้วนมีแต่เสียงต่อสู้เสียงอาวุธดังกระทบกัน เลือดแดงฉาน!ปูเป็นพรมเต็มทั่วลานสงคราม
เด็กหนุ่มเหมือนจะตื่นจากภวังค์ ถ้าเลือกได้มันอยากอยู่ในความฝันเสียยังจะดีกว่า
ที่ต้องตื่นมาพบกับความจริงอันโหดร้ายที่มีแต่การฆ่าฟันกันแย่งชิงอาณาเขตเช่นภาพตรงหน้าเช่นนี้
เด็กหนุ่มหาได้ทำดั่งคำสั่งของนายกองแห่งเวียงโกศัยไม่มันกำดาบมั่น
เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่อาจตัดใจทิ้งเมืองแมนและจะขื่อคนรักทั้งสองของมันได้
นายกองหนุ่มยังคงฟาดฟัดศัตรูและคอยป้องกันให้กับเด็กหนุ่มไปด้วย
ภาพแห่งการเข่นฆ่าตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มเหมือนสะเทือนใจจนเริ่มด้านชาและไร้ซึ่งความรู้สึก
ทันใดนั้นก็มีทหารกรุงศรีฯคนหนึ่งพุ่งหอกมาทางนายกองโชติ ไอ้แก้วยกดาบออกปะทะจนดัง

เคร้งงง!!!

นายทหารหนุ่มหันมาดูก็ทราบว่าเด็กหนุ่มป้องกันข้างหลังให้ก็นึกขอบใจ
แล้วต่างฝ่ายก็ต่างเข้าต่อสู้กับศัตรูที่เริ่มทะลักเข้ามาในเวียงราวน้ำป่าไหลหลาก!!!

เด็กหนุ่มกระโดดเข้าฟาดฟันใส่ศัตรูด้วยวิชาการต่อสู้ที่ได้ร่ำเรียนมามือกำดาบอย่างเข้มแข็ง
มันรู้ดีด้วยกำลังมันที่เคยทำแต่งานเบาไม่อาจสู้ทหารกล้าที่ฝึกซ้อมและเจนจัด
กระบวนท่าที่ใช้จึงเป็นการยืมแรงคู่ต่อสู้เพื่อทำลายคู่ต่อสู้เสียเอง

เด็กหนุ่มฟาดฟันดาบเข้าประหัตประหารคู่ต่อสู้ด้วยเพลงดาบที่เริ่มคล่องมือขึ้น
จังหวะนั้นมันก็ได้ปลิดชีวิตของทหารกรุงศรีไปผู้หนึ่งดาบแหลมคมแทงทะลุไปจนถึงกลางหลังอีกฝ่าย
ไอ้แก้วหน้าเผือดซีด!!! เหมือนรู้สึกสะเทือนใจยิ่งแต่ในหัวก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า

“อยู่ในสงคราม... ถ้าเราไม่ฆ่ามันมันก็จะฆ่าเรา”  

ณตอนนี้ไอ้แก้วได้ทำลายชีวิตผู้อื่นด้วยดาบในมือเสียแล้ว ฆาตกร ก็คือ ฆาตกรไม่อาจลบล้างตราบาปได้
และเมื่อดาบได้ดื่มเลือดของศัตรูไป 1คน ก็ตามมาด้วยคนที่ 2 คนที่ 3 และคนที่ 4 และ 5
ดาบเด็กหนุ่มเริ่มดื่มเลือดศัตรูทีละคนๆ อย่างบ้าคลั่ง!!!

นายกองแห่งเวียงโกศัยมองด้วยความแปลกประหลาดใจแกมทึ่งในความสามารถของเด็กหนุ่มรูปงาม
มันไม่อยากเชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้มีร่างงามจะแคล่วคล่องเจนจัดในวิชาการต่อสู้ประหัดประหารศัตรูได้มากถึงเพียงนี้!!!
เมื่อมีสติเพลงดาบจึงยิ่งแกร่งกล้าแผ่รังสีอาฆาตรุนแรง!!!

ทุกครั้งที่ดาบฟาดฟัน ทิ่มแทง คู่ต่อสู้ออกไปต่างก็สร้างบาดแผลให้กับทหารกรุงศรีฯได้ทุกคราว
อานุภาพนี้ไดทำให้คู่ต่อสู้ถึงกับขยาด!

เมืองแมนที่อยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดมันนึกห่วงใยเด็กหนุ่มยิ่งนัก
เพราะถึงแม้ไอ้แก้วจะประหารคู่ต่อสู้ให้ตายตกลงไปได้หลายคนแต่นั่นไม่ใช่วิสัยของไอ้แก้ว
ตามเนื้อตัวของเด็กหนุ่มชุ่มโชกไปด้วยเลือดคู่ต่อสู้จนแดงฉาน! เปรอะเปลื้อนร่างกายและใบหน้า

เมืองแมนและพันเฮืองต่างก็เริ่มได้รับบาดเจ็บเพราะทหารกรุงศรีเข้ามาเสริมทัพไม่หยุดหย่อน
แขนและตามตัวของมันมีแผลและเลือดไหลซึมอยู่หลายจุดเห็นแล้วน่าอนาจยิ่งนัก
ทหารแห่งเขลางค์ทั้งสองประคองกันออกมาจากจุดอันตราย
จนกระทั่งเสียงแตรดังขึ้นบ่งบอกว่ามีการเสริมทัพใหญ่เข้ามาอีกทัพ เมืองแมนได้ยินดั่งนั้นจึงร้องบอกให้ไอ้แก้วหนีไป

“ไอ้แก้วหนีไป... ไปเวยๆ(ไวไว)...ทัพข้าศึกมาสมทบอีกแล้ว”
“อ้ายเมือง!!!... ข้าเจ้า!!!...”

“ครั้งนี้ขอหื้อน้องเห็นแก่อ้ายซักครั้งนึ่งเต๊อะ...จงหนีไปเหีย(เสีย) อ้ายอยากให้น้องปลอดภัย...”

นั่นคือคำของชายคนรักของเด็กหนุ่มที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่ออกมาจากปากของชายชาติทหารแห่งล้านนา
พันเฮือง กำลังบาดเจ็บอาการร่อแร่ เมืองแมนก็ไม่อาจตัดใจทิ้งมันได้
เด็กหนุ่มมองชายคนรักด้วยน้ำนองหน้า

“ข้าอยากอยู่กับอ้ายเมือง!!!... ชีวิตข้าบ่มีไผอีกแล้ว... ข้ามีแต่อ้าย...อ้ายฮู้ก่อ... ข้ามีแต่อ้าย อ้ายจะทิ้งข้าไปได้จะได...”
เด็กหนุ่มน้ำตาไหลพรากยืนมองหน้าบุรุษหนุ่มอันเป็นดวงใจเพราะไม่อยากจาก

“อ้ายฮักเอ็งจ๊าดนักไอ้แก้วเฮยยย...แต่อ้ายก่อทิ้งหน้าที่ทหารแห่งล้านนาไปบ่ได้... ขอน้องจงเข้าใจ๋อ้ายตวย
หากแม้นมีวาสนาเฮาคงได้ป้ะกันแห็ม(อีก)ขอหื้อน้องหนีไปหื้อไกล๋ ไปเวยเวยอย่าได้รอช้า ไป!!!”

เด็กหนุ่มปาดน้ำตาทิ้งพยักหน้า ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนพรากจากสิ่งที่รักปานดวงใจ
ในทีสุดเด็กหนุ่มก็ตัดใจ เพราะทหารหนุ่มก็ต้องทำหน้าที่ขุนทหารแห่งล้านนาของมัน
ไม่อาจทอดทิ้งไปได้ และมันก็หน้าที่ ที่ต้องรักษาชีวิตตามคำสั่งของชายที่มันรัก!

เด็กหนุ่มขบกรามแน่นด้วยความปวดร้าว แล้ววิ่งขึ้นไปบนป้อมเพื่อตามหาจะขื่อ
รายรอบบริเวณล้วนเกิดเพลิงแดงฉานควันไฟคละคล้งพวยพุ่ง จนแทบหายใจไม่ออก
มองหาจะขื่อไป ทั้งปากก็ร่ำร้องหา แต่ก็ไม่เห็นแม้เงา

“อ้ายจะขื่อ!!!... อ้ายอยู่ตี้ไหน...”

มันร้องเรียกหาไป ศพของทหารทั้งสองอาณาจักรล้มตายและบาดเจ็บระเนระนาด
ที่ยังไม่สิ้นใจก็ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดอาวุธ ดาบ หอก โล่ ถูกทิ้งระเกะระกะไปทั้งบริเวณ
เด็กหนุ่มวิ่งขึ้นไปยังจุดที่จะขื่อประจำการบนเชิงเทินก็มีแต่ร่างไร้ชีวิตของทหารเวียงโกศัย
ที่นอนกองกันหลายร่างด้ายอำนาจการทำลายล้างของปืนใหญ่แหล่งกรุงศรีอยุธยา!

ควันไฟที่ลอยโขมง กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งเสียงร้อง เสียงต่อสู้ดังยังคงวุ่นวายสับสนอลหม่านยิ่งนัก
เมื่อเห็นร่างแน่นิ่งไม่ไหวติงของจะขื่อนอนแน่นิ่งขาหักทั้งสองข้างหัวแตกโลหิตไหลโชก!
พลันหัวใจของไอ้แก้วก็หล่นวูบ!!!

“อ้ายจะขื่อ!!! … อ้ายอย่าเป๋นหยังเน้อ...”

เด็กหนุ่มเข้าไปกอดร่างที่แน่นิ่งของพรานหนุ่มเสียใจอย่างสุดซึ้งมันไม่น่าห่างจากกายของจะขื่อเลย
และมันไม่น่ายินยอมให้จะขื่อติดตามมันมาด้วยตั้งแต่ต้นเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นความผิดมันคนเดียว
เด็กเขย่าร่างที่นอนแน่นิ่งของพรานหนุ่มราวกับคนบ้าก็ไม่ปาน

มันสะอื้นไห้อย่างโศกสลด! กอดอยู่บนตัวของชายคนรักคนที่ 2
แทบไม่อยากเชื่อว่าพรานหนุ่มผู้หล่อเหลาและมีจิตใจสัตย์ซื่อและคอยดูแลมันมาตลอดหลายปี
จะถึงชีวิตที่เวียงโกศัยแห่งนี้

แต่นาทีนั้นไอ้แก้วก็ถึงกับยิ้มกว้างด้วยความดีใจอย่างที่สุดเมื่อร่างของพรานหนุ่มหน้าหล่อ
กระตุกอยู่หลายครั้ง แล้วรืมตาตื่นใบหน้าซีดเซียวยิ้มจางๆ

“น้อง... ใจ้น้องก๊า...”

“อ้ายจะขื่อ!!!... ข้าเจ้าดีใจ๋ขนาด ดีใจแต๊ๆ เลยอ้ายยังบ่าตาย....”

“ยะหยังน้องยังบ่าหนีไป...ข้าศึกมากมายนัก ปะเดี๋ยวมันก่อทำอันตรายน้อง”

“หนีๆๆ แต่อ้ายจะขื่อต้องหนีไปกับข้า...”

“ขาอ้ายหักจะอี้... ถ้าน้องพาอ้ายไปเฮาสองคงบ่รอด”

“รอดๆๆ เฮาต้องรอดข้าจะแบกอ้ายไปกะข้าตาย...”

พรานหนุ่มสัมผัสใบหน้างามของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยนดวงตาเอ่อไปด้วยน้ำตาคลอ

“น้องฮักอ้ายก่อ...”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ น้ำตานองหน้า

“ฮัก... ข้าฮักอ้ายจะขื่อจ๊าดนัก!...”
“จะอั้น... อ้ายขอฮ้อง... หื้อน้องหนีไปเวยเวย...อ้ายบาดเจ็บจะอี้พวกมันคงบ่ทำอะหยังอ้ายแหม(อีก)”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่อาจยอมรับสิ่งที่คนที่นอนอยู่บนตักขอได้

“บ่ๆๆๆ ข้าบ่ยอม อ้ายจะขื่อต้องไปก๋าข้า...อย่าทิ้งข้า...อ้ายต้องบ่ทิ้งข้า...”

“ขอหื้อน้องฟังอ้ายซักเตื้อ... อ้ายบ่อยากเห็นน้องถูกจับไปเป๋นทาสที่กรุงศรีฯถ้าเป๋นจะอั้นอ้ายคงทนบ่ได้
ขออ้ายตายเหียดีกว่า ถ้าน้องฮักอ้ายจงไปเหียตอนนี้ ไป!!!...”

น้ำตาเด็กหนุ่มไหลพรากๆหัวใจแทบแตกสลายจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้แน่น
พลันเสียงแตรสัญญาณบอกว่าจะมีทัพเสริมมาสมทบอีกหลายทัพก็ดังขึ้นอีกครา
เด็กหนุ่มรู้ดีว่า หากมันไม่ตัดสินใจไปตอนนี้เห็นทีคงต้องถูกจับไปเป็นทาสที่กรุงศรีฯ เป็นแน่แท้!
มันรู้สึกสะเทือนใจเหมือนมีเข็มนับร้อยๆเล่มทิ่มแทง ความรู้สึกช่างเจ็บปวดยิ่งนัก

“ถ้าอ้ายบ่าต๋าย... อ้ายจะตามหาน้องหื้อพบแล้วพวกเฮาสามคนจะได้มาอยู่ร่วมกันแห็ม(อีก)”

จะขื่อพูดออกมาอย่างมุ่งมั่น แล้วผลักเด็กหนุ่มให้หลบลี้ออกไปจากเมือง
เด็กหนุ่มจำใจสะบัดหน้าหนีร่างที่กำลังนอนหมดแรง
แล้วเป่าปากร้องเรียกไอ้ขาว ม้าแสนรู้เพียงไม่กี่อึดใจเจ้าม้าขาวก็วิ่งควบมาทางเด็กหนุ่มอย่างคึกคะนอง
พร้อมส่งเสียงร่ำร้องดังก้องไปทั่วบริเวณ!

ฮรี้!!! ฮรี้!!!

“ไอ้ขาวมานี่!!!...”

ไอ้ขาวเมื่อเจอเจ้านายก็ร่ำร้องกึกก้องชูคอยกขาหน้าขึ้นร้องอย่างดีใจ
พร้อมเข้ามาเลียหน้าตาของไอ้แก้วอย่างเอาใจดูมันตื่นๆ ทั้งผู้คนและความร้อนจากแสงเพลิง
เด็กหนุ่มกอดหัวม้าขาวไว้แน่นแล้วลูบหัวมันไปมาหลายทีเพื่อปลอบขวัญ
แล้วเด็กหนุ่มกระโดดขึ้นบนหลังไอ้ขาวแล้วพามันทะยานออกจากคอกม้า

ไอ้ขาวเมื่อพบเจ้านายก็รีบกระโจนทะยานออกไปอย่างคึกคะนอง
กำลังจะพ้นประตูเวียง

พลัน!!!

ทหารกรุงศรีฯคนหนึ่งก็ขี่ม้าดำเข้าขวางหน้าหน้าเด็กหนุ่มไว้
ทหารผู้นี้สวมชุดเกราะชองชาวกรุงศรีฯสวมหมวกปลายแหลม บ่งบอกยศไม่ต่ำต้อยเช่นที่ไอ้แก้วได้ปลิดชีพไปทั้ง 5 นาย
แววตาทหารผู้นี้เปล่งประกายจ้าในเงามืดท่าทีองอาจแต่ก็ดูเย่อหยิ่งยิ่งนัก!
มันชูดาบขึ้นเป็นท่าเตรียมต่อสู้!

อีกฝ่ายเห็นไอ้แก้วนิ่งก็ควบม้ากระโจนเข้าใส่พร้อมฟันดาบมาด้วยกำลังแขนอันแรงกล้า!
เด็กหนุ่มหลบดาบคู่ต่อสู้อย่างเฉียดฉิวแล้วแกว่งดาบออกฟาดฟัน เมื่อได้ปะทะกัน

เด็กหนุ่มถึงกับมือชา! ทราบได้ว่ากำลังของคู่ต่อสู้นั้นกล้าแกร่งยิ่งนักยากที่มันจะเป็นคู่ต่อสู้ได้
เมื่อสู้ไม่ไหวเด็กหนุ่มก็ควบม้าหนีทันทีไอ้ขาวควบตะบึงออกนอกเวียงด้วยฝีเท้าอันไว
แต่เพียงครู่เดียวทหารหนุ่มแห่งกรุงศรีฯก็ติดตามมาทัน

“เอ็งจะหนีไปที่ใด!!!”

พร้อมฟันดาบมาที่ศรีษะของไอ้แก้วเสียงลมแหลมคมจนเด็กหนุ่มต้องฟาดดาบกลับไปป้องกัน
ดาบของเด็กหนุ่มฟาดฟันกลับมาที่คู่ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง เพลงดาบที่ได้ร่ำเรียนมาแม้จะเริ่มคล่องมือ

แต่กำลังแขนของคู่ต่อสู้กลับแข็งกล้ากว่ามากนักทั้งสองต่อสู้กันบนหลังม้าด้วยความหวาดเสียวยิ่ง
จังหวะนั้นไอ้แก้วก็ฟันคู่ต่อสู้จนโดนชุดเกราะห์เป็นรอยดาบส่งเสียงดัง

เคร้งงง!!!
เกราะเหล็กถึงกับบุบเป็นรอยยาวอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มก็มีฝีมือไม่เลวทราม
ยิ่งดูคึกคักเหมือนเกิดความท้าทายขึ้นมา

“ฝีมือเอ็งไม่เลวนี่... เจ้าคนยวน!!!”
ดาบของทั้งสองประทะกันดังบาดหูฟังดูน่าหวาดหวั่นใจยิ่งนัก

***คำว่า “ยวน” มาจากคำว่าไทยวน (อ่านว่า ไท-ยวน) หรือ  ไตยวน (อ่านว่า ไต-ยวน)
ไม่ได้หมายถึง “ญวน”ที่เป็นชาวเวียดนาม  แต่หมายถึง คนเมือง,  ชาวล้านนา

เคร้งคร้าง!!! เคร้งคร้าง!!!
การต่อสู้กันบนหลังม้าดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดแล้วไอ้แก้วก็ควบม้าออกไปนอกเมือง
ในขณะที่ทหารกรุงศรีฯก็ควบม้าตามจนออกมาพ้นในเขตเวียง
แต่อย่างไรเสียด้วยฝีมือของคู่ต่อสู้ชาวกรุงศรีผู้นี้ที่เป็นต่อทำให้ไอ้แก้วไม่อาจทำอันตรายมันได้เลย
ทำได้แค่เพียงการป้องกันตัวเอง

ทหารกรุงศรีฯเห็นว่าอีกฝ่ายฝีมือดาบแม้ดี แต่เหมือนจะยังขาดความชำนาญและเชื่อมั่น
จึงต่อสู้เหมือนหยอกเย้าเล่นเหมือนหมาหยอกไก่ จนมือไม้เด็กหนุ่มเริ่มลนลาน
ด้วยร้อนใจที่ไม่สามารถสลัดหลุดจากนายทหารแห่งกรุงศรีฯผู้นี้ได้
และนาทีนั้นไอ้แก้วก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบถูกฟันเข้าที่แขนได้แผลที่สอง!

“โอ้ยยยย!!!...”
แขนซ้ายมีเลือดแดงๆ อาบไหล  แผลบาดลึกด้วยดาบอันคมกล้าของขุนทหารกรุงศรีอยุธยา!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น