วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 21 กลับสู่นพบุรีศรีนครพิงค์กลับสู่บ้านเกิดเวียงนอน

ก่อนเดินทางกลับนพบุรีศรีนครพิงค์ นายกองทหารหนุ่มแห่งเวียงโกศัยได้มอบคืน“ไอ้ขาว”
ม้าแสนรู้ให้กับไอ้แก้ว ด้วยว่ามีชาวบ้านจับไว้ได้แล้วเอามาคืนทางการ
นายกองหนุ่มจดจำลักษณะของม้าได้ว่าเป็นม้าพันธุ์ดีจากเชียงตุงสีขาวปลอดทั้งตัว
ฝีเท้าเบาและไว และมีความอดทนต่อการเดินทางไกล

ม้าขาวที่มาพร้อมกับเจ้าของรูปงาม จึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
ไอ้ขาวพอเห็นไอ้แก้วก็ร้องเสียงดังยกสองขาหน้าอย่างคึกคักมันดีใจที่ได้เจอเจ้านายของมันอีกครั้ง
ส่วนไอ้แก้วก็สุดแสนจะดีใจเป็นล้นพ้นกอดคอม้าขาวราวกับเหมือนเจอคนรู้จักก็ไม่ปาน!

“ไอ้ขาว!!!...เอ็งเป็นจะได๋พ่อง...ข้าดีใจแต๊ๆ ที่ได้เอ็งคืนมา...เฮาจะปิ๊กเวียงนพบุรีกันแล้วเน้อ...เอ็งดีใจก่อ”

ม้าขาวก็ราวกับฟังเจ้านายเข้าใจ มันเลียหน้าตาไอ้แก้วแผล็บๆชายหนุ่มก็หลบหน้าหนีด้วยความจั๊กกะจี้
ม้าขาวกระโดดโลดเต้นคึกคักราวกับเด็กๆวิ่งเหยาะแหยะไปมารอบๆ ตัวเด็กหนุ่มอย่างคึกคะนอง
ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ดีใจอย่างที่สุด

ชายหนุ่มมองหน้าขึ้นฟ้าไปทางทิศตะวันตกอันเป็นทิศของเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนาอันยิ่งใหญ่
แผ่นดินแม่ที่มันได้จากมานานเกือบ 3 ปี และบัดนี้ มันกำลังจะเดินทางกลับบ้านแล้ว
การเดินทางครั้งใหม่ของไอ้แก้วจึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง….....

………………………………………………………………………………......

ชายหนุ่มได้จากบ้านเกิดเวียงนอนมานานร่วม3 ปีกว่า มันคิดถิงบิดายิ่งนัก
อีกทั้งพี่สาว และ น้องสาว อีก 3 นางป่านนี้คนเหล่านั้นจะลืมมันไปเสียแล้วกระมัง
แล้วเมืองแมน กับ จะขื่อ ล่ะ ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีประการใดก็ไม่รู้

มันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยากติดปีกโบยบินกลับเวียงนพบุรีให้เร็วที่สุด
อยากบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้เมืองแมนและจะขื่อ สองชายคนรักได้ฟัง
ว่ามันกล้าต่อสู้กับทหารเอกแห่งกรุงศรีจนเกือบตายในการต่อสู้ที่ทรหดนั้น
และมันยังได้ช่วยชีวิตทหารแห่งกรุงศรีเอาไว้อีกด้วย

ตลอดเส้นทางจากเวียงโกศัยจนถึง เวียงนพบุรีนั้น เส้นทางล้วนเป็นที่ราบลุ่ม ทุ่งนา ป่าดอน
ชายหนุ่มควบไอ้ขาวม้าแสนรู้อยู่หลายวันจนในที่สุดก็มาถึงกำแพงอันแข็งแรงสูงใหญ่
แน่นหนาราวปราการเหล็ก!!!

นพบุรีศรีนครพิง!!!
เวียงอันเป็นบ้านเกิด เวียงอันเป็นเวียงนอน เมืองหลวงของอาณาจักรแห่งล้านนา!

ทหารประจำการประจำอยู่ทุกจุดอย่างแข็งขันแม้จะพึ่งผ่านพ้นศึกใหญ่กับกรุงศรีอยุธยา
แต่ด้วยชัยชนะของล้านนาทำให้หน้าตาชาวเมืองต่างก็มีความสุขหน้าตาล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส
หนุ่มเหน้าหน้าตาหล่อเหลาร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ผิวขาว สับลายขาดำตามพุงและต้นขาอย่างสง่างาม

แม่หญิงก็งามนัก งามอ่อนช้อย งามหวาน หน้าตาสะสวยเกล้ามวยสูงประดับปิ่นปัก และดอกไม้หอม
ห่มคลุมด้วยสไบผ้าฝ้าย ผ้าไหม ชั้นดีด้วยเป็นเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่

ความร่ำรวยจากการค้าขายในยุคที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด!
เวียงนพบุรีศรีนครพิงค์ เวียงที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า และงดงามด้วยศิลปะอันทรงค่า
นครที่เจริญไปด้วยสรรพวิทยาการอันล้ำหน้าอีกทั้งไพร่ฟ้าประชาชนก็ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา
จึงเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของศาสนาพุทธในดินแดนแห่งนี้!

เวียงที่บ้านเมืองงดงามราวกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์บ้านเรือนแต่ละหลังถูกสร้างอย่างประณีตงดงาม
โดดเด่นด้วยหลังคาทรง “กาแล”ที่สร้างด้วยไม้เนื้อแข็งทับซ้อนกัน ลงตัวและสวยงามยิ่ง
เมืองที่งดงามไปด้วย วัด และ วัง ที่เหล่าเจ้านายและไพร่ฟ้าร่วมกันสร้างสรรค์

พระธาตุ และองค์เจดีย์สูงใหญ่เสียดฟ้า ยอดฉัตรสีทองอร่ามของพระธาตุเป็นสีทองผ่องอำไพ
สูงล้ำเสียดฟ้าและยอดเมฆ ยอดฉัตรสีทองอร่ามเรืองเหลืองทองตัดกับสีครามของท้องฟ้าที่เห็นได้ในระยะอันไกล

เวียงนพบุรีฯ นครที่องค์ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ได้รวบรวมผู้คนให้เข้ามาอยู่ร่วมกัน
และก่อตั้งขึ้นเป็นเมืองที่อุดุมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร
น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ด้วยมีแม่ระมิงค์(แม่ปิง)ไหลผ่าน

แม่น้ำสายหลักที่ไม่เคยแห้งขอดคอยหล่อเลี้ยงผู้คนชาวนพบุรีฯสองฟากฝั่งอยู่ชั่วนาตาปี
บริเวณที่ราบลุ่มก็มีผืนนาอันกว้างใหญ่ไพศาลบนดอยสูงก็มากมายไปด้วยป่าไม้อันอุดม
และสัตว์ป่าน้อยใหญ่

ด้วยความร่ำรวยมั่งคั่งมากไปด้วยอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดินนี้เอง
จึงเป็นชนวนสาเหตุที่เหล่าเจ้านายต่างแย่งชิงกันเป็นใหญ่แม้กระทั่งต่างอาณาจักรเองก็หวังครอบครอง!
วัดที่งดงาม วังที่สูงค่าด้วยศิลปะแห่งล้านนาบ้านเรือนผู้คนที่ล้วนสร้างอย่างประณีต

ตามชุมชนต่างๆ ผู้คนต่างพลุกพล่านเดินเข้าออก เพื่อเสาะหาเที่ยวซื้อข้าวของกันขวักไขว่
ชายหนุ่มเดินทางไปคุ้มเจ้าแสนคำเพื่อเข้าพบเจ้านายเดิมพร้อมทั้งบิดา และน้องสาวคนเล็ก
นับตั้งแต่มันอายุสิบเจ็ดจนบัดนี้ไอ้แก้วอายุยี่สิบเศษ นับเป็นเวลาสามปีกว่าที่มันได้จากไปอยู่ที่เวียงอันไกลโพ้น!

หน้าคุ้ม อันเป็นวังที่ประทับของเจ้าแสนคำที่โอ่อ่าด้วยประตูไม้สักทองฉลุลวดลายอย่างวิจิตร
กำแพงคุ้มสูงสง่าด้วยว่าเป็นคุ้มของเจ้าผู้น้องของเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน

หน้าประตูมีทหารยามร่างกายสูงใหญ่บึกบึนทหารทั้งสองต่างก็คุ้นเคยกับชายหนุ่มมาแต่น้อย
เมื่อทหารทั้งสองนายเห็นว่าเป็นไอ้แก้วต่างก็ดีใจรีบเปิดทางให้เด็กหนุ่มเข้าพบเจ้าแสนคำอย่างยินดี
เจ้าแสนคำต่างก็ดีใจยิ่งนักที่ไอ้แก้วมีชีวิตรอดกลับมาจนได้เจอหน้าอีกครั้ง
เจ้านายถามข่าวคราวสารทุกข์สุขดิบของมันด้วยความปราณีเป็นล้นพ้น!

ตลอดเวลาที่ไอ้แก้วเฝ้ากราบกรานหมอบคลานอยู่ต่อหน้าเจ้านาย
หนานอินผู้บิดาก็นั่งมองบุตรชายคนเดียวด้วยน้ำตาซึมด้วยความปลื้มปิติ
ที่มันยังมีบุญได้เจอหน้าลูกชายคนเดียวอีกครั้ง

“เอาล่ะๆ วันนี้อู้กันแค่นี้ก่อนเต๊อะโน่นหนานอินมันกลายเป็นละอ่อนน้อยร้องไห้เพราะอยากคุยกับลูกมันนักๆ แล้ว”
เจ้าแสนคำพูดเหมือนรู้ใจข้ารับใช้เก่าแก่จึงอนุญาตให้พ่อลูกได้พบปะสนทนากัน
พอออกมานอกคุ้มเจ้านายทั้งพ่อ และลูก ต่างก็กอดกันร่ำให้ด้วยความคิดถึงยิ่ง

“ไอ้หน้อยเฮย…เป็นจะได๋พ่องลูกเฮยยย…พ่อคิดเติงหาไอ้หน้อยขนาดดด!!!”

“ข้าเจ้าก่อคิดเติงหาอี่ป้อเหมือนกันเจ้า”

หนานอินลูบหน้าลูบตาบุตรชายหน้าตาหมดจดบุตรชายเพียงคนเดียวของมัน
พ่อกับลูกกอดกันแน่นอย่างคิดถึงไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้กลับมาพบเจอกันอีกครา
บิดาของไอ้แก้วแก่ลงไปมากด้วยความตรอมใจผมเผ้าที่แม้จะมีหงอกแซมบ้างแต่ก็ไม่เคยหงอกขาวเต็มหัว

แต่วันนี้มันเหมือนได้รับพรจากสวรรค์ให้ได้พบเจอบุตรชายของมันอีกครั้งหนึ่ง
นับเป็นสิ่งที่หนานอินเฝ้ารอมานานแสนนานความรู้สึกนั้นราวกับตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่ปาน
พ่อและลูกชายกอดกันกลมอย่างสุดแสนจะดีใจอย่าสุดซึ้ง
ไออุ่นจากอ้อมกอดของบิดานั้นช่างทำให้เด็กหนุ่มแทบลืมความยากลำบากที่ผ่านมาจนหมดสิ้น!

น้ำตาที่กักเก็บมาด้วยความอดทนพังทลายราวเขื่อนกั้นน้ำที่พังลง! ด้วยความซาบซึ้งดีใจอย่างที่สุด
ชายหนุ่มก้มลงกราบเท้าของบิดาผู้ชราด้วยล่วงเข้าวัยห้าสิบเศษ
หนานอินลูบหัวลูกชายคนเดียวอย่างปลาบปลื้มใจนัก
มาบัดนี้ไอ้แก้วได้กลายเป็นหนุ่มแน่นร่างกายสูงใหญ่กำยำดูแข็งแรงไปทั้งกาย

อยู่ไม่ห่างนัก หญิงสาววัย 18 ปี หน้าตางดงามในชุดผ้าซิ่นตีนจก ห่มสไบผ้าไหมสีม่วงอ่อน
เกล้ามวยสูงปักด้วยปิ่นเงินและดอกไม้หอม ในอ้อมอกอุ้มเด็กชายหน้าตาอวบอ้วนน่าชังวัยเกือบขวบ
นางยืนมองพรางเช็ดน้ำตาอย่างปลาบปลื้ม

ด้านข้างกายของนาง ยืนเคียงคู่กับบุรุษร่างกายสูงใหญ่กำยำหน้าตาคมคายแต่ดูอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ
ด้วยมีรอยยิ้มที่กว้างอยู่ตลอดเวลาบุรุษผู้นั้นยืนกอดไหล่เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอายุราว 3 ขวบ
หน้าตาของเด็กหญิงน่าเอ็นดูมองมาที่ไอ้แก้วตาแป๋วด้วยความสนใจ

“แอ๊ๆๆ!!!....”

เสียงของเด็กชายน้อยๆ ทำให้ไอ้แก้วหันไปมองเด็กชายโยกก็ตัวดึ๋งๆ ด้วยความซนบนอกของแม่
หน้าตาบ๊องแบ๊วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสดใสไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้เพียงนิด

“บัวสาย!!!...นั่นเอ็งรึ...เอ็งมีลูกแล้วก๊า…???”

น้องสาวคนเล็กของไอ้แก้วยิ้มทั้งน้ำตานองหน้าความดีใจหาใดจะปานที่ได้เห็นพี่ชายคนเดียวอีกครา

“เจ้า...อ้ายแก้ว...ข้าเจ้ามีลูกสาวคนนึ่งและลูกจายอีกนึ่งเจ้า...”

หลังจากที่ไอ้แก้วได้หายตัวไป บัวสายก็ได้กินแขกออกเรือนไปกับ “ขุนเมฆ”
ทหารยศ "ขุน" คนของเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน ที่เจ้านายได้เป็นผู้ใหญ่จัดการงานกินแขกให้อย่างออกหน้าออกตาสมกับเป็นไพร่ชั้นสูง
และตอนนี้บัวสายกับขุนเมฆก็มี บุตรชาย-หญิง ให้หนานอินได้เชยชม

คนโตชื่อ “ระมิงค์” อายุ 3 ขวบ
คนเล็กเป็นเด็กชายขาวอวบอ้วนวัยเกือบครบ1 ขวบ ชื่อ “ไอ้ปิง”

“อ้ายแก้วเจ้า...ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินข่าวศึกที่เวียงโกศัย...ข้าเจ้าคิดว่าอ้ายเป็นอะหยังไปเหียแล้ว!!!”
พี่ชายกับน้องสาวกอดกันกลมน้ำตาซึม

“บ่...อ้ายบ่าเป็นอะหยังง่ายๆดอกบัวสาย...และตอนนี้อ้ายก่อปิ๊กเฮือนมาแล้ว...เอ็งวาสนาดีแต๊ๆ ได้ลูกจาย
ลูกสาวน่าตาน่าเอ็นดูขนาด...อ้ายมาเห็นจะอี้ก่อดีใจแต๊ๆ”

“เจ้า...”

หญิงสาวได้แต่ปาดน้ำตาความดีใจที่ท้วมท้นทำให้นางลืมตัวจนยิ้มทั้งน้ำตา
แล้วบัวสายยกเด็กชายให้พี่ชายอุ้ม

“แอ๊ๆๆ...”

เด็กน้อยพออยู่ในอ้อมอกของลุงก็มองนิ่งหน้ายิ้มหัวอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย
ไอ้แก้วได้อุ้มหลานก็รู้สึกซาบซึ้งถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กเฝ้าหอมแก้มหลานชายซ้ายทีขวาที
อย่างรักใคร่ในสายเลือดเดียวกัน

“ระมิงค์ไปไหว้ลุงแก้วนะลูก”

บัวสายดันหลังเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูให้เข้ามาทำความเคารพไอ้แก้ว
เด็กหญิงก็ยกมือป้อมๆ กราบงามๆไอ้แก้วก็รับมือนั้นไว้แล้วหอมแก้มหลานเป็นการรับขวัญ

“งามแต๊ๆ หลานลุง”
ชายหนุ่มกอดหลานสาวด้วยความรักใคร่

“ชื่อเสียงของท่านร่ำลือไปทั้งกองทัพเวียงโกศัยและเวียงนพบุรี ว่าออกสู้ศึกกรุงศรีอย่างกล้าหาญยิ่ง...
ข้าดีใจนักๆ ที่ได้เป็นได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับท่าน”

“ท่านรู้ข่าวนี้ได้จะได๋”

เด็กหนุ่มสุดแสนจะแปลกใจที่ขุนเมฆผู้เป็นน้องเขยกล่าวถึงวีรกรรมในการรบในศึกที่เวียงโกศัย
เวียงน้อยที่พึ่งจากมาในการช่วยป้องกันข้าศึกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ขุนเมฆจึงเล่าให้ฟังว่ามันเป็นทหารของเจ้าเมืองเขลางค์นครเจ้านายคนเดียวกันกับเมืองแมน
และพันเฮือง พอเด็กหนุ่มได้ยินชื่อของเมืองแมนก็ถึงกับตาโตรีบถามข่าวคราวอย่างดีใจ

“บัดเดี๋ยวนี้เมืองแมนเป็นจะได๋พ่อง!...รีบเล่ามาหื้อข้าฟังเวยๆ”

เด็กหนุ่มเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้ขุนเมฆจึงเล่าให้ฟังว่าบัดนี้เมืองแมนกลับมาอยู่ในนพบุรีแล้ว
พร้อมด้วยทหารหลายกองเพื่อป้องกันเมืองไอ้แก้วได้ยินว่าเมืองแมนปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งอก
ดีใจอย่างที่สุดหาใดเปรียบ ถ้าเช่นนั้นจะขื่อ ก็ต้องปลอดภัยดีแล้วแน่ๆ

การกลับมาบ้านครั้งนี้ของมันจึงมีแต่เรื่องดีๆเข้ามาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่กระนั้น
นาทีนั้นทั้งครอบครัวต่างก็เป็นสุขใจยิ่งต่อการกลับมาของไอ้แก้ว
ครอบครัวที่แตกกระสานซ่านเซ็นต์ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

ชายหนุ่มอยู่ในคุ้มได้หลายวัน แต่ละวันผ่านไปอย่างมีความสุขราวกับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นก็ปาน
แต่ลมหนาวพัดมาคราใด ต้นแขนที่ถูกรอยดาบของทหารกรุงศรีและดาบอันคมกล้าของขุนสันต์ก็แสบวาบๆ
ราวกับจะเตือนให้มันได้ระรึกถึงเสมอว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาล้วนเป็นเรื่องจริงที่มันไม่ควรลืม!

ชายหนุ่มอยากออกไปพบ เมืองแมน และจะขื่อยิ่งนัก แต่ติดที่ยังไม่มีโอกาส
แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รู้ข่าวคราวของชายคนรักทั้งสองว่าปลอดภัยดีทั้งสองคน
จะขื่อที่อาการขาหักก็มีอาการดีขึ้นแล้วแต่ยังเดินได้ไม่ถนัดนัก
ข่าวนี้ยิ่งสร้างความดีใจให้เด็กหนุ่มเป็นที่สุดแต่ติดที่ต้องคอยอยู่ในคุ้มและยังไม่มีโอกาสได้พบ

จนวันหนึ่งเจ้านายก็ถามถึงความสมัครใจว่ามันจะกลับมาอยู่กับท่านหรือจะไปเป็นทหาร
ในกองกำลังของเจ้าเมืองเขลางค์นคร เด็กหนุ่มตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“ข้าเจ้า...ขออนุญาตไปรับใช้ล้านนาดัวยการเป็นทหารข้าเจ้า!!!”
เจ้าแสนคำและพระชายา เจ้านายมันก็ไม่อาจท้วงติงอันใดได้ เพราะไอ้แก้วเองก็ไปอยู่ใต้อาณัติของเจ้าหมื่นเรืองณรงค์
ผู้ช่วยของเจ้าเมืองเจียงแสนมานานถึง 3 ปี และได้รับอิสระภาพเมื่อคราวตีเวียงนพบุรีได้
ถึงแม้จะนึกเสียดายในตัวชายหนุ่มรูปงามที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
ชายหนุ่มผู้มากด้วยสรรพวิทยาการ ทั้งตั๋วเมือง งานสล่า งานดนตรีสะล้อ ซอ ซึง และยังเก่งกล้าเรื่องการสู้รบ!

..........................................................................................................

จนเช้าวันหนึ่งเด็กหนุ่มก็ถูกบิดาปลุกให้ตื่นเพื่อให้ไปเดินกาดเป็นเพื่อนขุนเมฆน้องเขย
แม้ไม่เข้าใจนักแต่จำต้องไปตามคำบิดาบอก

กาดกลางเวียงนพบุรีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนชาวล้านนา พ่อค้า แม่ค้า หน้าตาผ่องใสขายข้าวของกันอย่างอย่างยิ้มแย้ม
นับเป็นกาดที่ใหญ่โตกว้างขวางกว่ากาดใดใดในล้านนา

หนุ่มๆ ก็ล้วนรูปกายกำยำ หน้าตาหล่อเหลาผิวขาวสะอาดตา เกล้ามวยและพันทับด้วยผ้าโพกหัว
นุ่งเตี่ยวผืนเดียวรัดเป้าสับขาลายผิวเนื้อขาวๆ ตัดกับลายสักสมชายจึงนับว่างามนัก

แม่ญิงก็หน้าตาหมดจดงดงามกิริยาอ่อนหวานผิวขาวเนียนงาม รูปกายอ้อนแอ้นอรชร
แต่ละนางนั้นงามเลอเลิศในแดนดินมวยผมดำปักด้วยปิ่นเงิน และทอง บ้างก็ประดับด้วยดอกไม้หอม
ทั้งเอื้องคำ เอื้อยสาย เก็ดถวา จำปา จำปี ห่มสไบสีอ่อนบ้าง สดบ้าง คละกันไปดูงามละลานตา

หนุ่มเหน้า และสาวน้อย ต่างเดินนวยนารถหาซื้อข้าวของในกาดอย่างชะแล่มแช่มช้อย
แม่ญิงน้อยๆ พอมีหนุ่มๆ มาจดจ้องด้วยความสนใจต่างก็เอียงอายชม้ายชายตามอง 
หนุ่มๆ พอเห็นสาวก็เข้าไปเกี้ยวพาตามประสาความคะนอง

สาวเจ้าก็เอาแต่เอียงอายด้วยสำนึกอยู่เสมอว่าเป็นแม่ญ่าแม่ญิงไม่ควรพูดคุยกับบ่าวจนคนเอาไปนินทา
บรรยากาศรอบข้างล้วนสดใส สวยงาม และมีชีวิตทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกรื่นเริงใจยิ่งนัก
ขุนเมฆก็ชี้ชวนให้ดูแม่ญิงคนนั้นทีคนนี้ทีตามประสาชายหนุ่มที่เปรียบไปก็เหมือนหมู่ภมร
เมื่อเห็นดอกไม้งามก็ถูกใจแม้ว่าจะกินแขก(แต่งงาน)ไปแล้วก็ตาม

“ท่านนี้ดีแต๊...มีเมียแล้วยังม่วนอกม่วนใจขนาดอีกเน้อ!”
ไอ้แก้วเหน็บน้องเขยจนคนข้างๆ หัวเราะด้วยความขบขัน

“โอ้ย!...พี่เมียท่านก็กล่าวหาข้า...ข้านั้นอยากให้ท่านผ่อสาวให้สดชื่นและมีความสุขเท่านั้นดอก...
ส่วนตัวข้านั้นได้น้องสาวท่านเป็นเมียก้อบ่าได้คิดฮักสาวใดอีกแล้ว”

“ให้มันแต๊ๆ เต๊อะ...อย่าหื้อข้าฮู้เน้อว่าท่านทำให้น้องข้าเสียใจ๋...ข้ารับรองบ่ไว้หน้าท่านแน่! ฮ่าฮ่าฮ่า!!!”

ชายหนุ่มพูดติดขำๆ จนคนถูกขู่ถึงกับยกมือไหว้ปะหลกๆ ด้วยความเกรงกลัวจะเอาไปเล่าให้น้องสาวของอีกฝ่ายฟัง
ต่างฝ่ายต่างพูดคุยหยอกล้อเข้าขากันดีเหลือเกิน เพราะขุนเมฆเป็นคนอารมณ์ดีและสนุกสนาน
จึงทำให้ไอ้แก้วรู้สึกผ่อนคลายและสนุกไปด้วยเวลาพูดคุยกัน

“ท่านช่วยเลือกกำไลข้อเท้าไปให้ลูกจายข้าทีเต๊อะ...ถือว่าเป็นของรับขวัญหลาน”

ขุนเมฆลากชายหนุ่มปรี่ไปที่ร้านขายเครื่องเงินที่มีของจำพวกเครื่องประดับเงินกำไล แหวน สร้อย
เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากเงินด้วยฝีมือประณีต

ชายหนุ่มทั้งสองกำลังเลือกของอยู่นั้นแม่ญิงต่างก็เมียงมองกันอย่างสนใจ
ด้วยทั้งสองนั้นร่างกายสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา คนหนึ่งนั้นก็เป็นทหารกล้าร่างกายบึกบึนผึ่งผาย

อีกคนเป็นบุรุษร่างกายสูงสง่า หน้าตางามยิ่งผิวกายขาวเนียน ร่างกายกำยำ
พอมองแล้วก็ต่างกระซิบกระซาบกันตามจริตหญิงที่เมื่อได้พบบุรุษรูปงามก็ย่อมชมชอบใจเป็นเรื่องธรรมดา

ขณะที่ทั้งสองกำลังเลือกกำไลข้อเท้าให้เจ้าปิงหลานชายอยู่นั้นก็มีดรุณีน้อยนางหนึ่ง
เดินมาแล้วสะดุดล้มลงที่ด้านหลังเสียงของนางร้องด้วยความตกใจ

“ว้าย!...”

ดรุณีนางนั้นอายุราว 16 ปี หน้าตางดงามยิ่ง ผิวกายขาวเนียน ร่างกายอ้อนแอ้นอรชรสะดุดก้อนหินล้มพับกับพื้น
ผมดกดำเกล้ามวยสูงปักด้วยปิ่นทองสวยงามฝีมือประณีต
ไอ้แก้วรีบรับร่างนางไว้ด้วยความตกใจลืมนึกไปว่าประเวณีล้านนาการแตะเนื้อต้องตัวของหญิงชายนั้นเป็นเรื่องผิดผี
ฝ่ายหญิงจะโดนครหาและเสียหาย แต่การกระทำนี้ไอ้แก้วมิได้คิดมากความแม้แต่น้อย

“แม่ญิงเป๋นจะได๋พ่อง”
ชายหนุ่มเพ่งมองดวงหน้างามผุดผาดปานบัวแรกแย้มนั้นก็ยอมรับในใจว่านางงามยิ่งนัก
คิ้วเรียวยาว ดวงตาโตสดใส จมูกงามปากแดงระเรื่อ

“อุ้ย!...”
ดรุณีน้อยนางนั้นรีบดันตัวเองออกจากมือของชายหนุ่ม

“แม่ญิง!!!...แม่ญิงพยอมเป็นจะได๋พ่องก่าเจ้า...เจ็บตรงไหนพ่องก่ะเจ้า”
นางพี่เลี้ยงพอเห็นคุณหนูเกิดอุบัติเหตุก็เข้ามาดูด้วยความกลัวผิดประเพณี

“ข้า...ข้าบ่าเป็นหยัง”
นางเอียงหน้าหลบสายตาของไอ้แก้วด้วยความเอียงอายความงามนั้นทำเอาไอ้แก้วถึงกับตะลึง!
ถึงกับจ้องมองไม่วางตา

“ข้าสุมมาตวยก่ะถ้าทำให้แม่ญิงต๊กใจ๋...แม่ญิงบ่าเป็นหยังแต้ๆ ก่ะ”
“บ่าเป๋นอ่ะหยังเจ้า...ขอบใจอ้ายนักๆ น่ะเจ้า”

น้ำเสียงของนางสดใสไพเราะโสต จนเด็กหนุ่มนิ่งฟังอย่างพึงใจ
จนนางเดินหายลับตาไปแล้วมันก็ยังเมียงมองหาโดยหารู้ไม่ว่าขุนเมฆยืนหัวเราะอยู่ข้างหลังด้วยความยินดี

“งามแต๊ๆ แม่นก่อ”
ขุนเมฆผู้เป็นน้องเขยถามชายหนุ่มเองก็ยังเหมือนตกอยู่ในภวังค์จึงพูดออกมาว่า

“แม่นแล้ว...งามแต๊ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ข้าดีใจ๋ที่ท่านชอบ...และตอนนี้ข้าได้กำไลข้อเท้าให้หลานจายหน้อยๆของท่านแล้วเฮาปิ๊กกันเต๊อะ!”

แล้วชายทั้งสองก็เดินกอดคอกันกลับคุ้มด้วยอารมณ์คนละแบบ
คนนึงงุนงงต่อความรู้สึกที่พึ่งบังเกิด อีกคนยิ้มหัวเหมือนสมใจในเรืองบางอย่างเหมือนทำการอย่างใดอย่างนึงสำเร็จก็ไม่ปาน

แต่เพียงไม่นานนักเมื่อได้กลับมาเล่นกับหลานน้อยทั้งสองไอ้แก้วก็ลืมสิ้นเสียหมด
ต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นที่กาดกลางเวียงนั้น

จนกระทั่งทานข้าวเย็นเสร็จหนานอินก็มีเรื่องคุยกับเด็กหนุ่ม
หน้าตาหนานอินดูมีความสุขยิ่งนักในน่ิงที่จะกล่าวกับลูกชาย

“ไอ้แก้วเฮย...ปีนี้พ่อก็แก่นักๆ แล้ว...และมาบัดนี้เอ็งก่อเป็นหนุ่มใหญ่...พ่ออยากหื้อเอ็งมีเมียเอ็งจะว่าจะได๋”
“พ่อ!...พ่อหมายความว่า!”

“แม่นแล้วก่ะ...พ่ออยากหื้อเอ็งกิ๋นแขกแต่งงาน...เอ็งจะทำหื้อพ่อได้บ่ได้...เอ็งจงว่าไป”
“ข้าเจ้า...ข้าเจ้ายังบ่าได้คิดเรื่องนั้นเลยสักนิด”

“บ่าคิดได้จะได๋เอ็งเป็นป้อจาย...ป้อจายล้านนานอกจากบวช...ได้สนองคุณชาติบ้านเมืองแลบุพการีแล้ว
อีกเรื่องที่สำคัญตี้สุ้ดเลยก่อคือก๋านมีเมีย!!!”

ชายหนุ่มรู้สึกลำบากใจยิ่งนักด้วยดวงใจของมันนั้นยังคงถวิลหาชายหนุ่มทั้ง 3 นาย ที่มันรักและคะนึงหา
หนึ่งนั้นก็คือเมืองแมนทหารหนุ่มผู้กล้าแกร่งแห่งเวียงนพบุรีฯ
สองก็คือ จะขื่อพรานหนุ่มรูปงามผู้มีคุณที่ได้เคยช่วยชีวิตมันไว้จากเสือสมิง
สามนั้นก็คือ ขุนสันต์ทหารกล้าแห่งกรุงศรีอยุธยาที่พึ่งจะจากลากันเมื่องหลายสัปดาห์ก่อน

ชายหนุ่มรุปงามก้มหน้านิ่งด้วยความว้าวุ่นลำบากใจยิ่งนัก
แม้ว่าการได้กลับมาเจอหน้าบิดา และครอบครัวในครั้งนี้จะเป็นเรื่องดีแสนดี แต่การต้องถูกจับแต่งงานกลับเป็นเรื่องที่ผิดคาดยิ่งนัก

และบรรยากาศครอบครัวตอนนี้ก็กำลังไปได้ดีมันเองก็ไม่อยากขัดใจพ่อผู้ชรา ความกตัญญูนั้นถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก
และเมื่อครั้งเข้าเรียนตั๋วเมืองและงานสล่ากับพระอาจารย์ที่วัดกลางเวียงพระอาจารย์ก็ย้ำเสมอถึงความกตัญญูรู้คุณบุพการี!
ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายชาวล้านนาทุกคนควรกระทำ!

“ข้ายอมกินแขกก่อได้...แต่ข้าขอบวชหื้อแม่ข้าเหียก่อน”
ชายชราถึงกับตบเข่าอย่างดีใจสุดแสนที่ลูกชายยินดีทำตามความตั้งใจของตัวเอง

“ดีนักๆ ดีแต๊ๆ แค่เอ็งยอมตกลงพ่อก็ดีใจนักๆแล้ว...วันพรุ่งพ่อจะพาเอ็งไปสู่ขอแม่ญิงผู้นั้น!”
ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้านิ่งจริงอยู่การได้กลับมาเจอพ่อ เจอครอบครัวนั้นสุขนัก
แต่ทุกข์ที่ต้องทำตามความต้องการของบุพการีนั้นก็ทุกข์อีกอย่างที่มันก็มิอาจขัดได้เช่นกัน!

ในวันต่อมาไอ้แก้วถูกจับแต่งกายหล่อเหลาด้วยชุดผ้าไหมชุดใหม่
เสื้อไหมแขนยาว กางเกงขายาว ทุกสิ่งถูกจัดขึ้นตามความต้องการของหนานอินทั้งสิ้น!

พอแต่งกายเสร็จสิ้นก็เดินทางไปที่บ้านฝ่ายหญิงที่พ่อของมันได้พูดคุยตกลงกันไว้
เรือนของฝ่ายหญิงเป็นเรือนไม้สักหลังใหญ่เกือบเทียมคุ้มเจ้าด้วยเป็นบ้านของคหบดีแห่งเวียงนพบุรีฯ

พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ออกมาต้อนรับด้วยหน้าตาสดยินดียิ่ง ยิ่งพอได้ยลโฉมของชายหนุ่ม ทั้งหน้าตาและรูปกาย
ยิ่งนึกรักพึงใจอยากได้มาเป็นเขย
พ่อแม่ฝ่ายหญิงที่เป็นคหบดีแห่งเวียงนพบุรีฯ นั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่างก็พอใจต่อว่าที่ลูกเขยคนนี้เป็นที่สุด

“อี่จำปี๋แม่ญิงแต่งตัวเสร็จแล้วกา?...”

แม่นายหญิงของบ้านหันไปถามหญิงรับใช้วัยสาวใหญ่นางก็รีบคลานเข้าไปในห้องส่วนตัวของแม่ญิง
แล้วสักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องออกมาชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับว่าที่พ่อตา แม่ยาย ติดพันอยู่นั้น
ก็ต้องหยุดคุยเมื่อสายตาทุกผู้หันไปมองที่ด้านหลังของมันและพอชายหนุ่มหันไปมองก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ

“แม่ญิง!!!”

ร่างงามอรชรภายใต้สะไบสีบานเย็นนั้น คือแม่หญิงที่พบที่กาดกลางเวียงนั่นเอง!!!
ทั้งสองจ้องตากันแน่นิ่งแม่ญิงผู้มีนามว่า “แม่ญิงพะยอม” ก็ถึงกับเอียงอายไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม
จนผู้เป็นแม่ต้องดึงแขนธิดาสาวลงมาไหว้ว่าที่พ่อสามีนางก็ไหว้ได้อย่างอ่อนหวานสวยสมเป็นกุลสตรีล้านนายิ่ง

หนานอินยิ้มอย่างยินดีเป็นที่สุด ไอ้แก้วนั้นทั้งรู้สึกประทับใจต่อฝ่ายหญิงผู้นั่งพับเพียบเรียบร้อยสวยสมที่เป็นสตีล้านนาอยู่ตรงหน้า
แต่อีกใจนั้นเล่า กลับกระวนกระวายใจยิ่งนัก!

เพราะบัดนี้หัวใจทั้ง 4 ห้องของมันนั้นมีให้ชายหนุ่มถึง 3 คน!!! เรียบร้อยเสียแล้ว...
การจะรักกับแม่ญิงพะยอมได้นั้น 1 ห้องดวงใจนั้น มันเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
หรือจะเป็นการทำร้ายแม่ญิงผู้งามปานดอกบัวแรกแย้มผู้นี้กันแน่!!!

อารมณ์ของมันมีสองอย่างปะปนกันตลอดพิธีการดูตัว จวบจนกระทั่งกลับเรือน

ความว้าวุ่นนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับทานข้าวไม่ลง
จนหนานอินและน้องสาวน้องเขยต่างเข้าใจว่าชายหนุ่มคงอยากแต่งงานไวไวเมื่อได้เห็นว่าที่เจ้าสาว

แต่ใครเล่าจะใจดวงจิตของเด็กหนุ่มได้ว่าอาการมันตอนนี้นั้นทั้งวุ่นวายใจ และสับสนสักเพียงไหน
ความวุ่นวายใจนั้นชายหนุ่มจึงหยิบซึงประจำตัวขึ้นมาดีดเป็นทำนองเสนาะหู

“จี๋จี๋จี๋ ดอกบัวและซ้อนป้าน...มันจั้งมาบานซอนซ้อนก่ายกอกก่าแหน...
คนใดจะข้ามน้ามเลิ้ก...ตี้ไหนจะบ่เปิ้งบุญเฮือและบุญแป...อย่าหื้อได้ผิดแผจากขันคำแลขันแก้ว..."

และถ้าใครได้ฟังก็คงจะเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มได้ดี ว่าบัดนี้ความกลัดกลุ้มกำลังเกาะกินใจมันอยู่!!!......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น