วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 14 บำบัดความสุขให้ท่านเจ้าหมื่นก่อนจากลา

บนเรือนไม้สักหลังใหญ่โอ่อ่าด้วยห้องโถงกว้างขวาง หน้าเรือนชานเปิดโล่งกว้างขวาง รับลม และเป็นที่ๆ จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ประชุมราชการ และหารือกิจการงานเมือง 

บนเริือนประดับประดาด้วยหอกโล่ห์ดาบ ศาตราวุธมากมาย สร้างความน่าเกรงขามยิ่งนัก 
แต่ถึงกระนั้นก็ยังประดับไปด้วยเครื่องเรือนตู้ เตียง ตั่ง ที่ทำจากไม้สักเนื้อดี แกะสลักลวดลายสวยงาม

ถึงแม้จะไม่ได้สวยงามวิจิตรเทียมเครื่องใช้ของเจ้านาย แต่ก็นับว่างดงามไม่น้อย
ทุกสิ่งล้วนสูงค่าด้วยทองเหลือง และเงิน สมหน้าตาเจ้าของเรือน อันเป็นขุนพลจากล้านนา

บนเรือนใหญ่ ณ เวลานี้ กลับร้างราผู้คน เพราะยังเป็นเวลาที่เช้ามาก ท้องฟ้าพึ่งจะเริ่มมีแสงแดงๆ ที่ปลายขอบฟ้า

แอ๊ดดดด!!!.....

ไอ้แก้วค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องเจ้านายมันที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในภวังค์
เพราะเมื่อคืนเจ้าหมื่นเลิกจากงานเลี้ยงก็เกือบตีหนึ่ง นายมันจึงยังคงนอนแน่นิ่งอย่างสุขอุรา
ใบหน้าคมคายของเจ้าหมื่นเรืองณรงค์แม้ไม่ได้ถึงกับหล่อเหลาของ แต่ก็มีเสน่ห์ชวนมองน่าถวิลหาเยี่ยงบุรุษชาตินักรบ องอาจ ห้าวหาญ 

บุรุษวัยสามสิบสองปี ขุนพลผู้กุมกองทัพล้านนาแห่งเวียงเชียงแสนพ่นลมหายใจออกมาอย่างสม่ำเสมอ
หน้าคมคายหลับสบาย หน้าผากกว้าง จมูกโด่งคมสัน ปากหนาได้รูป ผิวกายเข้มเนียน
ร่างกายกำยำบึกบึนแน่นหนาไปทุกส่วนสัดสมกับชายชาติอาชาไนย

ร่างบึกบึนแน่นล่ำของเจ้าหมื่นถูกห่มคลุมด้วยผ้านวมผืนหนาด้วยมือของไอ้แก้วตั้งแต่เมื่อคืน
แต่ตอนนี้ผ้าห่มที่คลุมกายกองลงไปที่ต้นขาจนเปลือยล่อนจ้อน เผยให้เห็นถึงขนเพชรดกหนาพรึ่บ!!!
ดกงามหยิกหยอยชวนหลงใหลสมบุรุษเพศ!

องคชาติขนาดมหึมาลุกชันตั้งตะหง่าน!!! เป็นไปตามธรรมชาติของบุรุษที่มักจะมีอาการชูชันในตอนเช้า 
ปลายองคชาติบานเบ่ง ท่อนลำมีเส้นเอ็นโปน สง่างามสมตัวท่านเจ้าหมื่นยิ่งนัก

มหาดเล็กหนุ่มยิ้มขำๆ จะห่มคลุมร่างนายอีกรอบ แต่เมื่อชายผ้ากำลังจะปิดที่ความเป็นชายของเจ้านายมันก็ต้อยยกค้างไว้...

เด็กหนุ่มผู้เป็นข้ารับใช้นิ่งมองอาวุธประจำกายของท่านเจ้าหมื่นนิ่งเหมืนต้องมนต์สะกด!
พิศจากใบหน้าคมสัน ลำคอแน่นหนา อกผายไหล่ผึ่ง แน่นล่ำ กำยำ ผิวท่านเจ้าหมื่นงามแต่ก็มีริ้วรอยคมศาสตราอยู่ตามตัวหลายจุด ไม่แตกต่างจากเมืองแมน 

เพราะมันเองก็ระลึกเสมอว่า
“นักรบหากไร้ซึ่งบาดแผล ย่อมไม่ใช่นักรบที่แท้”

ไอ้แก้วนิ่งงันจนกระทั่งเจ้านายมันเริ่มได้รับไอเย็น จึงเอาแขนล่ำๆ กอดอกแน่น
ไอ้แก้วจึงได้รู้สึกตัว รีบเอาผ้าห่มนวมคลุมกายให้เจ้านาย ก็พอดีกับที่บุรุษร่างกำยำอาวุธแข็งตะหง่านรืบตาตื่นขึ้นมาพอดี

“ฮ้าววว!!!... อ้าวไอ้แก้วเอ็งดอกรึ... ข้านึกว่าเป็นไผ”
“ข้าทำให้เจ้านายตื่น ขอสุมมาเต๊อะตวยข้าเจ้า”
“ข้าตื่นเอง... เอ็งบ่ได้ทำให้ข้าตื่นดอก”
เจ้านายมันพูดด้วยน้ำเสียงอาจหาญตามวิสัยขุนพล ที่ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเยี่ยงแม่ญิง
เจ้านายมันเอาหมอนไปซ้อนกันแล้วขยับขึ้นไปนอนเอนหลังด้วยท่าที่สบายๆ 

อาวุธขนาด 8 นิ้ว ยังคงโด่ดันผ้านวมออกมาให้ไอ้แก้วนึกอาย...
แต่เจ้านายก็เป็นอย่างนี้ท่านชอบวางตัวสบายๆ นุ่งสบายๆ ไม่ค่อยมีพิธีรีตอง
ยกเว้นตอนไปราชการ 

“นี่เป็นเวลาใด... นี่เอ็งมานานแล้วก๊า”
“ซักครู่แล้วข้าเจ้า...”
ไอ้แก้วนั่งคุกเข่าข้างเตียง ผู้เป็นนายก็นอนด้วยท่าสบายกึ่งนั่งกึ่งนอนเอาแขนแกร่งหนุนหมอน

“เมื่อคืนไผพาข้ามานอนห้องนี้”
เจ้านายมันมองรอบๆ ห้อง จึงรู้ว่าเป็นอีกห้องที่ไร้ร่างภรรยารสาวคนงาม

“เป็นข้าเจ้ากับพันลือ... พันขาม... ข้าเจ้า”
เจ้าหมื่นยิ้มๆ พร้อมพยักหน้า มองมาที่ไอ้แก้วอย่างเอ็นดู พร้อมกวักมือเรียก 

“ขึ้นมาบีบนวดให้ข้าซักหน่อย... ปวดเมื่อยแต๊ๆ ยังเช้าอยู่มากยังพอมีเวลา...”
ซึ่งเป็นที่รู้กัน ถ้านายมันพูดเยี่ยงนี้ก็หมายความว่า นายมันกำลังมีความต้องการนั่นเอง 

เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเข้าใจแล้วก้าวขึ้นไปบนเตียงลงมือบีบนวดตามแขนขาร่างกายกำยำล่ำไปทั้งสรรพางกาย 
ร่างกายเจ้าหมื่นแน่นล่ำกำยำไปทุกส่วนสัด ตั้งแต่ลำคอหนาแกร่ง ต้นแขนล่ำแน่นราวกับจะม้าศึก!

อกนูนเด่นเป็นก้อน หัวนมป้านใหญ่ชูชัน หน้าท้องแกร่งแบนราบแข็งแรง ขนหน้าท้องดกงามสมบุรุษ
ต้นขาแน่นหนาห่มคลุมด้วยผ้านวมแต่ตอนนี้ถูกเด็กหนุ่มเปิดออกเพื่อบีบนวด
ทำให้อาวุธขนาด 8 นิ้ว!!! ของเจ้าหมื่นเรืองณรงค์ ออกมาตั้งตะหง่าน!!! นอกร่มผ้าจนไอ้แก้วนึกขยาด
แต่ก็มีความปรารถนาซึ่งความองอาจผงาดง้ำนี้!

เด็กหนุ่มแม้รู้สึหน้าร้อนผ่าว แต่ก็ด้วยหน้าที่จึงทำการบีบนวดไปทั่วกายให้เจ้านาย
น้ำหนักมือที่เจ้านายมันชอบคือหนัก และแน่น ซึ่งทำให้ไอ้แก้วต้องลงน้ำหนักตามที่นายพอใจ

ระหว่างที่ไอ้แก้วนวดตามร่างกายนายไปเจ้านายมันก็จะค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าของมหาดเล็กออกไปด้วย
ไอ้แก้วหนาวสะท้านกายขึ้นมาทันที!!! 
เมื่อเสื้อผ้าพ้นกาย รูปกายขาวนวลงามก็สะกดสายตาเจ้านายของมันให้นิ่งมอง

เจ้านายมันรั้งร่างเด็กหนุ่มให้ขึ้นไปนั่งกลางลำตัวตรงหว่างขา เด็กหนุ่มก็มิขัดข้องขึ้นไปนั่งบีบนวดให้เจ้านายต่อ 
จากลำคอแกร่ง บ่าไหล่ ต้นแขนความแน่นแกร่งแข็งแรงชวนให้จับต้องจนไอ้แก้วเองก็มีอารมณ์ตามเจ้านายมัน
จนอาวุธประจำกายขนาดเขื่อง แข็งขัน ชูชันกลิ้งไล้ไปมาที่หน้าท้องแกร่งของขุนทหารกล้า!

เจ้าหมื่นเองก็เริ่มลูบไล้ไปมาตามเนื้อเนียนแกร่งงามของมหาดเล็กหนุ่ม ไอ้แก้วถึงกับสะท้านตามมือหยาบหนาใหญ่ของเจ้านายตน
เมื่อโดนสะกิดที่ยอดอกสีแดงสดมันก็ถึงกับครางออกมาด้วยเกินจะกลั้น!

“อา!!!...”

ผิวอันขาวนวลเกินชายใดเป็นสิ่งที่ทำให้ขุนทหารแห่งล้านนามีอาการเสียวกระสันต์ได้มากมายทุกคราเมื่อได้ชิดใกล้

อาวุธขนาดใหญ่ของเจ้านายมันก็ถูไถไปมากับร่องของเด็กหนุ่มจนเริ่มมีน้ำไหลเยิ้ม!!! 
เมื่อความต้องมาถึงขีดสุดเจ้าหมื่นก็รั้งร่างแกร่งงามของไอ้แก้วเข้ามากอดจูบ 
แล้วทั้งสองก็ดูดปากกันดูดดื่มเร่าร้อนรุนแรง ร่างทั้งสองกอดรัดกันราวกับงูที่ถึงฤดูกาลผสมพันธุ์
ความเสียวซ่าน บอกผ่านเสียงครางกระเส่าของข้ารับใช้กับเจ้านายหนุ่มต้อนรับอรุณรุ่งแห่งวันใหม่

“อือออ!!!”

ไอ้แก้วร้องคราง อือ... อา... ด้วยความเสียวจัดเมื่อโดนเจ้านายมันดูดนมสีสดทั้งสองข้างสลับไปมา
จนเด็กหนุ่มต้องกอดรอบคอเจ้านายมันแน่นตามความสุขที่ได้รับจากบุรุษผู้เป็นเจ้าชีวิต! 
ลำตัวที่แน่นหนาของบุรุษผู้กำยำร่างแน่นกอดฟัดไอ้แก้วอย่างเร่าร้อน!!! 

ขุนพลแห่งล้านนากดหัวไอ้แก้วให้ก้มลงใช้ปากกับอวัยวะส่วนกลางที่แข็งกล้า!
ไอ้แก้วอ้าปากดูดรูดที่องคชาติของเจ้าหมื่นอย่างนุ่มนวลด้วยเรียวลิ้น
เจ้านายมันจับหัวไอ้แก้วให้โยกขึ้นๆ ลงๆ ที่อาวุธขนาดใหญ่ของตัวเองอย่างเมามัน สูดปากครางกระเส่า

“ซี้ดดดด!!!”

ขุนพุลแห่งล้านนา แหงนปากครางกระเส่า ความสุขที่ได้รับจากเรียวปากของเด็กหนุ่มนั้นเป็นที่โปรดปราน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าได้รับจากบรรรดาผู้หญิงเลย
ไอ้แก้วพยายามอ้าปากให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้เพื่อปรนเปรอเจ้านายมันให้สุขสมใจ

“ซี้ดดด!!! ข้าบ่อไหวแล้ว... มาเต๊อะ!!!”

เจ้าหมื่นดึงร่างของไอ้แก้วให้ขึ้นนั่งตัก แล้วจับลำลึงค์ให้มุดเข้าประตูหลังของไอ้แก้ว
ส่วนมหาดเล็กหนุ่มก็พยายามกดร่างกายส่วนล่างให้นั่งคล่อมลงไปที่องคชาติของเจ้านาย...

“อึ๊!!!”

ไอ้แก้วถึงกับร้องครางเมื่อหัวอาวุธของบุรุษผู้เป็นนายมุดเข้าในตัวมันช้าๆ ช้าๆ 

ความรู้สึกเหมือนเมื่อสักครู่บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมพยายามมุดเข้ามาในตัวมัน

“ซี้ดดดด!!!”

เด็กหนุ่มกัดปากแล้วกดลงไปอีก ลงไปอีก!!! และเจ้านายมันก็พยายามแทงขึ้น!!! 

“อา... เสียววว รัดลำข้าแต๊ๆ!!!”

ขุนทหารครวญครางด้วยความสุขที่ได้รับจากร่างกายของข้ารับใช้รูปงาม

จนทุกอย่างเข้าที่เข้าทางไอ้แก้วที่นั่งอยู่บนตัวเจ้านายมันก็ได้แต่โยกคลอนไปมา
เมื่อเจ้านามันสวนกระแทกความเป็นชายด้วยขนาดใหญ่ขึ้นกระทบร่างของไอ้แก้วอย่างบ้าคลั่ง!!!

ทั้งเจ้านายและข้ารับใช้ ต่างกอดกันกลมแนบแน่นปากจูบกันแนบแน่น เร่าร้อน!
“อ้ะๆๆๆ!!! ซี้ดดดดดดดด!!!”
ไอ้แก้วร้องถึงกับหลับตาอ้าปากครางลั่นปานใจจะขาด! เมื่อเจ้านายมันเด้งสวนท่อนลำขึ้นมาจนสุดความยาว!!!

ตั๊บๆๆๆๆ!!!

เจ้านายมันเริ่มติดพันเด้งสวนอาวุธประจำกายใส่ในตัวไอ้แก้วอย่างรุนแรง เร่งรัว!!!

“ฮึ่มมม!!! อึ๊บๆๆๆ!!!”

ขุนพลแห่งล้านนากอดฟัดตามเนื้อตัวไอ้แก้วราวกับไม่ได้เสพสังวาสมานาน
หนุ่มใหญ่กอดเอวไอ้แก้วแน่นแล้วเร่งรัวเข้าปาอาวุธของตนอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงกระทับกันของหนอกเนื้อดังสนั่น!!! 

ความหฤหรรษ์นี้ทำให้ไอ้แก้วถึบกับเสียวกระสันรุนแรง ในที่สุดน้ำแห่งความสุขล้นทะลัก!!!

“อ๊า... ซี้ดดด!!!”
เด็กหนุ่มทะลักน้ำกามจนหมดตัว จนสิ้นเรี่ยวหมดแรง ลงนอนซบกับอกแกร่งของขุนทหารหนุ่ม

ผู้เป็นเจ้านายก็กำลังใกล้ถึงจุดหมายจึงให้เด็กหนุ่มลงด้านล่างแล้วจับขาเด็กหนุ่มอ้ากว้างพาดเอว
แล้วนั่งยองๆ กระทุ้ง กระแทกลำลึงค์รัวใส่ไอ้แก้วอย่างเมามัน ป่าเถื่อน และรุนแรง!!! 
ความรุนแรงในการสังวาสของเจ้าหมื่นจนเตียงถึงกับลั่นโยกสั่นไหว!!! 

เอี๊ยดๆๆๆ!!!
ตั๊บๆๆๆ!!!


จนในที่สุดขุนพลหนุ่มใหญ่ก็ทนความบีบรัดลำลึงค์ต่อไม่ไหว 
จึงเร่งกระหน่ำรัวความเป็นชายอันใหญ่โตมโหราฬเข้าในถ้ำทองของไอ้แก้วอย่างสุดแรง!!! 

“อูยยย!!! ซี้ดดดดด!!!”

น้ำแห่งความสุขฉีดทะลักเข้าในตัวเด็กหนุ่มจนล้นเอ่อ!!! ในร่างกาย
แม่ทัพแห่งล้านนา กับหนุ่มน้อย ต่างนอนกอดแนบแน่นหอบกระเส่าอย่างมีความสุข

เหงื่อไคลของทั้งสองแตกพลั่กร่างกายร้อนผ่าว แต่พอกระทบกับอากาศยามหนาวไม่นานก็เย็นยะเยือก
ไอ้แก้วโดนเจ้านายมันนอนทับอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเพลาจึงแต่งองค์ให้เจ้านาย ก่อนที่พระสงฆ์จะมาถึงในอีกไม่ช้า

...............................................................................

พอช่วงเช้าพระที่นิมนต์มาก็มาถึง บรรดาทหารหนุ่มๆ นางข้าไท ไพร่ ทาส ที่มีอยู่ในคุ้มทั้งหมด
ก็มาออเรียงกันสลอนเพื่อรอใส่บาตรอย่างพร้อมเพรียง 

เมืองแมนถือขันใส่ข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว)ลงกระแซะนั่งข้างๆ ไอ้แก้ว 
ทั้งสองมองตากันยิ้มๆ 

“หลายวันมานี้บ่ค่อยเห็นน้องเลย... ตื่นเจ้ามาก็บ่หัน... ตอนนอนอ้ายก็หลับแล้ว”
“อ้ายก่อฮู้ว่าช่วงนี้เจ้านายมีงานเลี้ยงกู้วันกู้คืน กว่าจะได้นอนก็ตีนึ่ง ตีสอง...ฮ้าวว!!!”

เด็กหนุ่มเผลอหาวออกมาจนทหารหนุ่มอดขำไม่ได้ แต่ก็นึกสงสาร วันๆ ตามก้นเจ้านายต้อยๆๆ
ยิ่งใกล้ถึงวันลาจากเวียงนี้เท่าใด งานเลี้ยงก็มีทุกวัน 

เช้านี้เมืองแมนหน้าตาสดใส เกล้ามวยผมเรียบตึง โพกหัวด้วยผ้าไหมสีขาว 
อากาศหนาวทหารหนุ่มจึงสวมเสื้อแขนยาวผ่าอกสีขาว ผูกด้วยผ้ารัดเอวสีสุภาพและนุ่งเตี่ยวสั้นสีขาว 
ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนล้วนสว่างกระจ่างจ้าดุจแสงตะวันยามเช้า 

ใบหน้าขุนทหารหล่อคมคายแววตาคมกล้าแต่ยามเพ่งมากลับอ่อนโยนอย่างที่สุด
ยิ่งพิศ ยิ่งสง่า โอ่อ่า ชวนมองยิ่งนัก

“อ้ายจะขื่อล่ะอ้าย... บ่มาใส่บาตรก๋า...”

“เมื่อคืนบอกจะไปนอนกับอ้ายขาม จนป่านนี้ยังบ่หันหน้า(เห็นหน้า)”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เพราะอย่างไรเสียพรานหนุ่มก็เคยคุ้นกับชีวิตอิสระแบบคนป่ามาก่อนยากจะฝึกให้มีวินัยเยี่ยงขุนทหาร 
และมหาดเล็กที่เจนงานอย่างมัน

จะขื่อนั้นเป็นพรานป่า คนดอย นับถือ “ผีป่า ผีดอย ผีบรรพบุรุษ” แต่พอติดตามไอ้แก้วและเจ้านายเข้ามาอยู่ในเวียง 
จึงเริ่มซึมซับเอาสิ่งที่คนเมืองปฏิบัติ และในที่สุดก็เริ่มยึดหลักพระพุทธศาสนา
ตามอย่างไอ้แก้วและคนเมืองปฏิบัติกัน…

ซักพักภายใต้ไอหมอกหนาๆ พระสงฆ์ในจีวรสีทองผ่องอำไพก็เริ่มเดินเท่าเปล่าเรียงรายเป็นแถวยาว
ฝ่าไอหมอกขมุกขมัว ที่แสงแดดพยามยามส่องอย่างไรก็ไม่สามารถทะลุไอหมอกหนาลงมาได้
พระสงฆ์เดินอย่างสำรวมมาตามถนนจนถึงทางเข้าคุ้ม 

ไอ้แก้ว กับเมืองแมน และขุนทหาร ไพร่ ทาส ข้ารับใช้ในเรือนเจ้านายจึงเริ่มใส่บาตรพระ
ไปด้วยหัวใจอิ่มบุญ อันเป็นวิถีแห่งพุทธที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน

พระสงฆ์ผ่านเข้าไปในเรือนรูปแล้วรูปเล่า ด้านหลังมีเณรทั้งเริ่มเป็นหนุ่มน้อย 
และเป็นเด็กเดินตามเป็นภาพที่เห็นได้ในแผ่นดินล้านนาจนชินตา

แต่ก่อนที่พระสงฆ์รูปสุดท้ายจะเดินเข้าประตูคุ้มจนหมดสิ้น 
จะขื่อก็ตาลีตาลานวิ่งหอบกระเส่ามาหน้าประตูคุ้ม
แล้วนั่งลงข้างๆ ไอ้แก้ว พร้อมดึงขันเงินที่บรรจุข้าวนึ่งจากมือไอ้แก้วไปใส่บาตรทันพระรูปสุดท้ายพอดี
แล้วพนมมือไหว้ด้วยอาการหอบโยน....

“เฮ้อ!... เกือบมาบ่ทันใส่บาตรตุ๊เจ้า!”

“ตุ๊เจ้าเข้าไปในคุ้มหมดแล้ว พวกเราก็ตามเข้าไปเต๊อะ”
เมืองแมนตัดบท ชายหนุ่มทั้งสามเดินเข้าในคุ้มไป นับเป็นการทำบุญครั้งสุดท้ายที่เวียงนันทบุรี
ก่อนออกเดินทางกลับสู่บ้านเมืองตน...

.......................................................................................................

ค่ำคืน ณ คุ้มเจ้าราชวงศ์ แห่งเวียงนันทบุรี บรรดาแขกเหรื่ออันเป็นทหารทั้งสองฝ่าย อีกทั้งท้าว พญา 
ขุนทหาร น้อยใหญ่ ต่างได้รับเชิญให้มาเลี้ยงอำลาที่คุ้มเจ้าราชวงศ์ ซึ่งเป็นพระอนุชาของเจ้าหลวงนันทบุรีที่ทรงพระชรา
ขุนทหาร ท้าวพญานั่งออกันเรียงรายสูงต่ำตามยศศักดิ์ เสียงสนทนากันอึงอล
แต่ละท่านล้วนแต่งเต็มยศ ประดับด้วยเครื่องยศประดับยศศักดิ์ 

ไม่นานนักเจ้าพนักงานของคุ้มหลวงก็เดินเข้ามาร้องเสียงดังกังวาน 

“เจ้าราชวงศ์มาแล้ว... ข้าเจ้า”
เหล่านายทหารยศสูง ต่ำ ต่างก็วางแก้วสุรา หยุดการดื่มกินไว้เพียงแค่นั้นแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่า
ในอาการไหว้สาเจ้าน้องของผู้ครองเมืองนันทบุรีที่ได้รับหน้าที่ในการต้อนรับแขกเหรื่อ
ทรงเสด็จมาพร้อมเจ้านาง ฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา และบรรดาเจ้าชาย เจ้าหญิง 
แต่ละองค์ล้วนรูปงามสูงส่ง จนไม่กล้าแหงนหน้ามอง...

พอเจ้าหลวงประทับนั่งเรียบร้อย เจ้าราชวงศ์ก็ทรงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“เชิญตามสบาย”
ไอ้แก้วที่นั่งอยู่ในวงสะล้อ ซอ ซึง ร่วมกับนักดนตรีหลวงคนอื่นๆ ก็เริ่มขับซอตามหน้าที่ๆ เจ้านายมอบหมาย

งานเลี้ยงเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย เจ้าหลวง และพระญาติ ทั้งฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือน ท้าว พญา 
รวมทั้งเจ้าเมืองต่างๆ ที่อยู่ใต้อาณาจักรนันทบุรีอีกต่อหนึ่ง ต่างก็มาพร้อมหน้ากันในคืนนี้

บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริง หน้าตาผู้คนดูยิ้มแย้มต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรส
ต่างดื่มกินกันอย่างมีความสุข 

ไอ้แก้วและคณะดนตรีหลวงขับสะล้อ ซอ ซึง ไป ก็จะมีช่างฟ้อนหน้าตาหมดจดหุ่นอรชรราวนางอัปสร
แต่งกายด้วยซิ่นงาม สไบสีสวยสด เกล้ามวยสูงกลางหัวประดับด้วยดอกไม้หอมแซมผมดำ 
ออกมาฟ้อนอ่อนช้อยงดงามน่าชม 

บรรดาแขกเหรื่อต่างนั่งมองช่างฟ้อนจนปากอ้าค้าง เพราะแต่ละนางล้วนเป็นช่างฟ้อนหลวงในคุ้มหลวง
แม่ญิงแต่ละนางล้วนถูกคัดสรรอย่างดีทั้งชาติตระกูลสูง โฉม และรูปกาย ได้รับการฝึกหัดฟ้อนตั้งแต่เริ่มเป็นสาวน้อย 
แต่ละนางจึงฟ้อนได้อย่างอ่อนช้อยงดงามยิ่ง...

ยิ่งมีการขับสะล้อ ซอ ซึง ประกอบเข้ากับจังหวะด้วยแล้วคนที่ว่าแขนอ่อนฟ้อนงามก็ยิ่งงามเข้าไปอีกเท่าตัว
นาทีนั้นแต่ละคนก็จดจ้องมาที่ช่างฟ้อนแห่งคุ้มหลวงด้วยความชื่นชม พอจบการแสดงจึงได้รับคำชมเชยมากมาย

ท่านเจ้าหมื่นเรืองณรงค์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เจ้าราชวงศ์ จึงขอนุญาตให้ทางเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์ขับซอถวาย
เจ้าราชวงศ์ยิ้มอย่างใจดีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดา...

“โอ้... ดีแต๊ๆ ไหนๆๆ ข้าอยากดู”
ไอ้แก้วในชุดไหมสีขาวรูปงามสะอาดยอมือไหว้สาขึ้นท่วมศรีษะแล้วค้อมหัวลงต่ำตามประเพณีการไหว้เจ้านาย

เด็กหนุ่มนั่งเด่นเป็นสง่าไหล่ตั้งหลังตรง 
หนีบซึงไว้แนบอกและเมื่อเริ่มดีดซึง ติ่งติ๊ง!!!  ในลำนำพลิ้วไหว เป็นบทเพลงทำนอง “ล่องน่าน” 
อันเป็นการขับดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของเวียงนี้ 

เด็กหนุ่มขับซอ ผสานกับสะล้อ ซอ ของคณะดนตรีจากคุ้มหลวงเสียงดังกังวานแว่ว
สุดแสนไพเราะเสนาะโสต...ทำนอง ซอล่องน่าน

ขออนุญาตนำเพลง น่านฟ้า ของ ภานุทัต อภิชนาธง ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ มาประกอบนะครับ
เพราะปลื้มและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ฟัง ม่วนแต๊ ม่วนว่า ครับ 
ใครชอบแนวนี้ และถ้าอยากฟังเต็มๆ เชิญแวะเข้าไปรับชม และรับฟัง ได้ตามลิงค์เลยครับ


https://www.youtube.com/watch?v=tDymMf7RbHk
เพลงน่านฟ้า
ทำนองซอล่องน่าน คำร้อง ภานุทัต อภิชนาธง / ขับร้อง สุนทรี เวชานนท์

“เสียง... ล่องน่าน บทขับขานวอนไย ปี้อ้าย...ข้าเจ้าจักไขบรรยายฮ่ำฮ้อง
เป๋นระบำทำนอง วอนวานหว่านไหว้ เป๋นตี้สุขบานหวานใจ๋ เน้อนายปี้น้อง...
โอ่ละนอ ละนอ น้องเฮยโอ่ละนอ ละนอ น้องเฮย

กล่าวถึงถิ่นแคว้น แดนกลางหุบเขาเมืองบุญฮ่มเงา แสงธรรมแจ่มจ้า
อ่อ ออ อ้อ ออ อ่อ ออ อ่อ อออ่อ ออ อ้อ ออ อ่อ ออ อ่อ ออ
ภูใหญ่เขาสูง ยอดขึ้นเสียดฟ้ากำเนิดธารา มหานที...
สมญาน้ำน่าน หล่อเลี้ยงวิถีนันทบุรี สืบมาแม่นมั่น
เลื่องชื่อลือนัน ทั่วแคว้นพารา
โอ่ละนอ ละนอ น้องเฮยโอ่ละนอ ละนอ น้องเฮย….” 


ผู้คนพอฟังจบต่างก็ปรบมือ นิยมยินดีต่อการขับลำนำล่องน่านของไอ้แก้วและคณะดนตรีหลวง
ที่ขับซอล่องน่านได้ไพเราะจับใจ ต่างก็ หันถามกันไปมาว่าเด็กหนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นใคร 

“ไอ้แก้วมันแกว่น(เก่ง)แต๊ๆ ขับซึงได้ม่วนขนาด เหมือนได้ยินได้ฟังเพลงจากสวรรค์ก็บ่ปาน” 
พันขาม ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมืองแมน พันเฮือง และพันลือ กล่าวออกมาด้วยความชื่นชมยินดี 

“มันผู้นั้นขับซึงได้ม่วนแต๊ๆ รูปก็งามหมด(หล่อ)”
เสียงชมเชยมาจากรอบๆ กาย จนเมืองแมนยิ้มแป้นแทนเด็กหนุ่ม

“อ้าว... พันเมือง นั่นท่านเป็นอะหยังก๊า... ยิ้มหัวเหมือนมีความสุขขนาด”
ทหารหนุ่มยิ้มแต่ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อนทหารผู้มาจากเวียงเขลางค์นครด้วยกัน

“บ่มีหยังดอกอ้ายเฮือง... สุขใจที่คนไกลบ้านจะได้ปิ๊กบ้านปิ๊กเฮือนสงบศึกกันได้จะอี้ข้าสบายใจยิ่งแล้ว”

ทหารหนุ่มปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด นั่นก็คือเรื่องที่เกิดเมื่อวานนี้
ที่มันกับไอ้แก้วได้ไปขออนุญาตเจ้านายลาไปเยี่ยมพ่อ และจะขอไปอยู่กับเมืองแมนที่เขลางค์นคร

เจ้าหมื่นเรืองณรงค์แม้นจะสุดแสนเสียดายในตัวมหาดเล็กหนุ่มยิ่งนัก 
แต่น้ำใจท่านก็กว้างขวางประดุจมหานที เพราะอย่างไรไอ้แก้วก็หาใช่ทาสในเรือนเบี้ยไม่ถึงมีสิทธิ์เหนี่ยวรั้ง
ความดีที่เด็กหนุ่มได้กระทำให้ก็มากมายสุดคณานับ จึงอนุญาตให้ไอ้แก้วหลุดพ้นและจากไป 

“แต่หากแม้นเอ็งเบื่อเมืองหลวงเมื่อใด... ก็สามารถแวะไปอยู่กับข้าที่เวียงเจียงแสนได้ทุกเมื่อเลยเน้อ...
เรือนเอ็งข้ายังบ่หื้อไผไปนอน จะเก็บไว้ให้เอ็ง”

เขาจำได้ว่าไอ้แก้วนั่งลงกราบแทบเท้าเจ้านายด้วยใบหน้านองน้ำตา

“ข้าบ่มีวันลืมบุญคุณคุ้มหัวคุ้มเกล้าข้าเจ้าเลย”
“ไปเต๊อะ!!!… ไปหาพ่อ ไปหาปี้ หาน้องของเอ็ง”
ขุนพลแห่งล้านนากล่าวด้วยน้ำใจอันกว้างขวางสุดประเสริฐ พร้อมมอบแหวนให้ไอ้แก้วหนึ่งวง

“ข้าให้... ตอบแทนน้ำใจของเจ้าที่ดูแลข้ามานานนักหนา...”

เด็หนุ่มก้มลงกราบเจ้านาย แล้วรับแหวนสูงค่ามากุมไว้ด้วยมืออันสั่นรัว
เจ้านายดีเยี่ยงนี้ ยากนักที่มันจะหักใจไม่ให้อาลัยรัก

พอรุ่งเช้าทหารทุกกองก็ถอนทัพกลับบ้านเมืองของตน 
ไอ้แก้ว และจะขื่อ ติดตามเมืองแมนไปเขลางค์นคร ทั้งสามแยกกับกองทัพของเจ้าหมื่อนเรืองณรงที่ประตูเมืองนันนทบุรี 
เวียงเชียงแสนอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนเขลางค์นครอยู่ทิศตะวันตกของนันทบุรี

จึงจำต้องแยกจากกัน ณ ที่นี้ 

เจ้าหมื่นเรืองณรงค์และแม่นายคนใหม่นั่งบนช้างพลายงาขาวโบกมือให้พร
ขุนพันทั้งสียิ้มให้พวกไอ้แก้ว แล้วโบกมืออำลาจากกัน จนขบวนช้าง ม้า จากเชียงแสนเริ่มเคลื่อนออกไป
ไอ้แก้วก็น้ำตาซึม 

“จะได้พบเจ้านายอีกเมื่อใดก็บ่ฮู้...”
เมืองแมนกอดคอเด็กหนุ่มคนรักแล้วลูบหัวด้วยความสงสาร

“ถ้ามีวาสนาคงได้พบกันแหม”
“แม่นแล้ว... ขนาดข้าอยู่ในดง ในป่า ยังได้มาพบไอ้แก้วเลย ถ้าบ่ใจ้วาสนาจะเรียกว่าอะหยัง”

ทั้งเมืองแมนและจะขื่อต่างปลอบใจไอ้แก้วที่รู้สึกห่อเหี่ยวเมื่อต้องจากเจ้านายที่มันคอยปรนนิบัติมานานถึงสองปีเต็ม!
อ้ายภู กับอ้ายหมอก ที่มาส่งพวกไอ้แก้วก็นำเสบียงอาหารแห้งมาให้

“ขอให้เดินทางปลอดภัยเน้อ... ในห่อนี้เป็นเนื้อแห้ง ปลาแห้ง ข้าวสาร 
ข้าเอามาหื้อเอาไว้กิ๋นระหว่างเดินทางเวียงเขลางค์ไกล๋ขนาดอีกเมินกว่าจะถึง... จะได้บ่ลำบาก”

อ้ายภูมองไอ้แก้วตาละห้อย ไอ้แก้วเองก็อาลัยคนตรงหน้าไม่น้อย
เพราะทหารหนุ่มหล่อแห่งเวียงนันทบุรีคนนี้ไม่เพียงมีรูปกายกำยำหล่อเหลาหนำซ้ำยังมีน้ำใจดี
คอยช่วยเหลือคุ้มกันในยามที่มันลำบาก ยากที่จะไม่อาลัย

“ข้าคงคิดเติงหาเอ็งขนาด... คงบ่ได้ฟังไผขับซึงม่วนๆ อย่างเอ็งอีกแล้ว”
อ้ายหมอกลูกผู้น้องของอ้ายภูพูดหน้าเศร้าๆ ทั้งสามโอบกอดกันก่อนลาจาก 

แล้วมันทั้งสี่คนก็ควบม้าคนละตัวมุ่งหน้าลงทางใต้สู่ทิศตะวันตก เพื่อเดินทางไปเวียงเขลางค์นคร 
แต่ก่อนถึงเขลางค์นครต้องผ่าน เวียงโกศัย เสียก่อน เพราะเป็นเส้นทางราบเรียบเดินทางสบายกว่า
เส้นทางไปผ่าน ภูกามยาว มากนัก…

มันทั้งสี่ควบม้าผ่านโตรกเขินเนินเขา และภูสูง ผ่านป่าเขา ผ่านแม่น้ำ หมู่บ้าน 
อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก ยิ่งนั่งอยู่บนหลังม้าลมเย็นๆ กระทบใบหน้าจนปวดแสบและชา
จนเกือบเย็นย่ำผ่านการเดินทางระยะแสนไกล ความอาลัยรักในเจ้านายของไอ้แก้วก็ค่อยๆ  ทุเลา แล้วกลับมาสดใสร่าเริงเช่นที่เคยเป็น

ถึงตอนเย็นก็หาที่หยุดพัก เด็กหนุ่มก็ปล่อย  “ไอ้ขาว”  ม้าที่เจ้านายมอบให้มันเล็มหญ้าอยู่กับม้าอีกสามตัว
สีขาว ดำ น้ำตาล ตัดกันสวยงาม หยอกล้อกันตามประสาสัตว์ 

ไอ้แก้วสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ  สูดเอาอิสรภาพที่ได้รับ เพื่อให้แล่นไปทั่วกายด้วยความปรีดา..........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น