วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 15 ศึกนอกใหญ่หลวง... ศึกในใหญ่ยาว

เกือบสุดเขตแดนของเวียงนันทบุรี จะเข้าเขตแดนของเวียงโกศัย บุรุษทั้งสี่ต่างพักแรม ณ ริมแม่น้ำสายเล็กๆ
ที่ไหลเรื่อยมาจากตอนเหนือลงมาทางใต้ไหลเข้าเขตเวียงโกศัย
   
เมืองแมนก่อกองไฟเพื่อหุงหาอาหารส่วนจะขื่อไปจับปลาในแม่น้ำ พันเฮืองเก็บฟืนในป่า
ส่วนเด็กหนุ่มดูแลม้าทั้งสี่ตัวต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่

ไม่นานพรานหนุ่มน้องร่วมสาบานของเมืองแมนก็จับปลาช่อนตัวโตๆ จากแม่น้ำได้หลายตัว
ส่วนพันเฮืองก็หอบฟืนออกมาจากป่าได้กองโตพอที่จะใช้หุงหาอาหาร
และจุดใช้จุดไฟให้ความอบอุ่นในค่ำคืนนี้ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บในคืนนี้
ที่สำคัญยังสามารถาจุดเพื่อป้องกันสัตว์ป่าได้อีกด้วย

จะขื่อนำปลาช่อนตัวโตๆที่จับมาได้คลุกเคล้าเข้ากับเกลือสินเธาว์ยัดท้องปลาด้วยสมุนไพรป่า
สูตรเฉพาะของจะขื่อบุรุษทั้งสามต่างช่วยกันกันย่างปลาไป ต่างก็พูดคุยกันไปถึงการเดินทางในครานี้
จนกระทั่งปลาช่อนย่างเริ่มมีกลิ่นหอมฉุยใกล้จะสุกท้องของพันเฮืองก็ร้องจ๊อกๆ
จนเมืองแมนและจะขื่อต่างก็หัวเราะด้วยความขบขัน

“หิวแล้วก๊าพันเฮืองฮ่าฮ่าฮ่า”
พันเฮืองหัวเราะร่ายอมรับตรงๆ

“กลิ่นปลาย่างสมุนไพรของเอ็งทำหื้อข้าน้ำลายไหลแต๊ว่า”

เมืองแมนจึงมองหาเด็กหนุ่มเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังดูแลม้าศึกทั้งสี่ตัว
พร้อมหยอกล้อกับไอ้ขาวอย่างร่าเริงทหารหนุ่มก็เดินเข้าไปหา

ไอ้แก้วกำลังลูบแผงคอลูบหัวของไอ้ขาว ม้าที่เจ้านายมันได้ประทานให้ก่อนจาก
เด็กหนุ่มเห็นม้าก็เหมือนนึกถึงผู้เคยเป็นเจ้าของจึงคอยเอาใจอาชาศึกตัวงามอย่างใกล้ชิด
ไอ้ขาวเป็นม้าแสนรู้และยิ่งกับไอ้แก้วด้วยแล้วยิ่งแสนเชื่องเพราะเวลาเจ้านายมันมีราชการอันใด
เจ้านายมันก็จะให้ไอ้ขาวเป็นภาหนะให้เด็กหนุ่มอยู่ทุกครา

ตอนนี้มีเพียงไอ้แก้วที่คุ้นเคยมันจึงเลียหน้าตาของไอ้แก้วจนไอ้แก้วหลบหลีกเป็นพัลวันพร้อมหัวเราะร่าเริง
เด็กหนุ่มพยายามหลีกลี้ลิ้นโตใหญ่ของอาชาขาวคู่ใจอย่างมีอาการขันร้องโหวกเหวก
เจ้าม้าก็ยิ่งคึกคะนองที่เห็นเจ้านายเล่นหัวกับมันก็เลยยิ่งแกล้ง จนไอ้แก้วต้องกอดหัวมันไว้ไม่ให้ดิ้น

“หยุดๆๆไอ้ขาว!!! หยุดน่า... บ่เอาเน้อ!!!...ฮ่าฮ่าฮ่า ปอแล้วๆ!!!”

ม้าศึกคึกคักก็จริงแต่พอถึงเวลาหยุดก็นิ่งตามคำสั่งเจ้านายเด็กหนุ่มกอดหัวม้าขาวไว้แน่น
คนกับม้ากอดกันรักกันเหมือนเชื่อมความรู้สึกระหว่างกันได้ก็ไม่ปาน

“ตอนนี้มีแต่เฮาสองคนแล้วเน้อ...เอ็งอย่าทิ้งข้าไปไหนเน้อ”
“ฮรี้ๆๆ!!!...”

ไอ้ขาวเหมือนฟังภาษาคนรู้เรื่องมันร้องก้องพร้อมส่ายหัวไปมา
ทหารหนุ่มเดินเข้าใกล้พร้อมหยอกเอินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์สดใสขึ้นเกือบเป็นเด็กหนุ่มผู้ร่าเริงคนเดิม

“แกว่น(เก่ง)แต๊ๆ เลยเน้อ...อู้กับม้าก่ฮู้เรื่องตวยก๊า...ฮ่าฮ่าฮ่า!!!”
เด็กหนุ่มหันมายิ้มสีหน้าระรื่น

“อ้ายเมืองบ่าฮู้...ไอ้ขาวมันเป็นม้าแสนรู้... อยู่กับมันแล้วข้าเจ้าสบายใจ๋แต๊ๆ”
“อยู่กับม้าแล้วสบายใจ๋!!!... อู้แบบนี้ก่อแสดงว่าตอนน้องอยู่กับอ้ายน้องบ่สบายใจแม่นก่อฮึ!!!”
ทหารหนุ่มทำท่าขึงขังฟึดฟัด! คิ้วขมวด เด็กหนุ่มเห็นก็ยิ้มขำในท่าทีของอีกฝ่าย

“แม่นแล้วเจ้า...อยู่กับม้าข้าเจ้าก่อสบายใจ๋ แต่พออยู่กับอ้ายข้าเจ้าก็มีความสุขหาใดเหมือน...”
เด็กหนุ่มยิ้มออเซาะจนเมืองแมนกลั้นขันไม่อยู่ต่างก็หัวเราะขำๆ ให้กัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า...อ้ายก่อแค่หยอกเอ็งเล่น... อ้ายดีใจจ๊าดนักที่เห็นน้องดีขึ้นจะอี้...”
เมืองแมนเข้าไปลูบหลังใหล่ของเด็กหนุ่มคนรักที่มันอุตส่าห์ติดตามหาจนได้มาพบที่เวียงนันทบุรี
เด็กหนุ่มร่างงามอดีตมหาดเล็กหลวงของขุนทหารแห่งเวียงเชียงแสนหันมายิ้มกว้างตอบคนตรงหน้า

มันรู้ว่าเมืองแมนไม่ได้โกรธจริงเพราะมันเองก็รู้นิสัยชายคนรักดีว่าเขาเป็นชายชาตินักรบที่ห้าวหาญ
และมีเหตุผลไม่น่าจะมาคิดเล็ก คิดน้อย อิจฉาแม้กระทั่งม้า

“ข้าเจ้าฮู้สึกดีขนาดเลยอ้ายเมือง...แค่ยังบ่เคยคุ้นกับการว่างงานจะอี้ ตื่นเช้ามาเคยแต่ดูแลรับใช้เจ้านายพอบ่ได้ยะก๋านก่อเลยฮู้สึกแปลกๆ...”
“อ้ายเข้าใจ๋...น้องก่ออย่าคิดนักเน้อ อย่ากังวลกับกู้สิ่งจนทำหื้อน้องบ่สบายใจ๋...เพราะกู้อย่างจะมีทางของมันเอง... เจื้ออ้าย”

เมืองแมนลูบหัวไอ้แก้วไปมาอย่างเอ็นดูพันเฮืองเห็นก็นึกชื่นชมสองพี่น้อง
จนอดพูดด้วยแจ่มใสในขณะที่มือก็ช่วยจะขื่อพลิกปลากลับไปกลับมา

“พันเมืองนี่มันฮักน้องจายของมันแต๊ๆเนาะ... บ่เหมือนข้ากับน้องจาย... เห็นหน้ากั๋นเมื่อใดก็อยากเตะก้นมันจ๊าดนัก!”
“อ้าว!... เป็นหยังพันเฮืองต้องเตะก้นน้องจายอ้ายด้วยล่ะก๊า...”
“ก้อวันๆ มันบ่ยะก๋านยะงานอะหยัง...แถมเจ้าชู้ขนาด วุ่นวายแต่เรื่องแม่ญ่าแม่ญิงจนป้อข้า แม่ข้าฮ้อนใจขนาด”
“อ้อออ…”
พรานหนุ่มลากเสียงยาวอย่างเข้าใจ

“แต่ข้าแปลกใจ๋นิดนึงพวกมันเป๋นปี้น้องกั๋น จะได๋หน้าตาบ่าเหมือนกั๋นเลย มึงว่าก่อจะขื่อ”

จะขื่อกำลังย่างปลาอยู่ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆแต่ไม่กล่าวอะไรเพราะรู้แก่ใจทุกสิ่ง
และด้วยวิสัยของจะขื่อก็ไม่ใช่คนชอบกล่าวมากความ
พอปลาย่างสุกแต่ละคนก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยเพราะฝีมืปลาย่างโรยเกลือของจะขื่อนั้นนับว่าโอชะยิ่งนัก

ยิ่งได้เกลือจากเวียงนันทบุรีที่อ้ายภูบรรจุห่อให้ยิ่งทำให้รสชาติอาหารยิ่งอร่อยมากยิ่งขึ้น
ค่ำคืนนั้นบุรุษทั้งสี่ก่อกองไฟจนลุกโชติช่วงเพราะเกรงกลัวสัตว์ร้ายจะลอบมาทำร้าย

...................................................................................

จนวันต่อมาก็ล่วงเข้าสู่เขตแดนของเวียงโกศัยเวียงน้อยแห่งนี้ถูกผนวกเข้าอยู่ในอาณาจักรล้านนา
ตั้งแต่สมัยเจ้าหลวงนพบุรีแห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ก่อน
ภายหลังจากที่อาณาจักรภูกามยาวถูกผนวกเข้ารวมในอาณาจักรล้านนาไม่นานเท่าใดนัก
เมืองน้อยใหญ่ที่เคยเป็นรัฐอิสระมาตั้งแต่โบราณเริ่มถูกอาณาจักรล้านนาอันมีเวียงนพบุรีศรีนครพิงค์
ผนวกดินแดนทั้งเหนือใต้ ออก ตก

ซึ่งไม่นานมานี้เวียงนันทบุรีก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นภูกามยาว และเวียงโกศัย ตามลำดับ
เมื่อตีได้เวียงใดเจ้าหลวงแห่งนพบุรีก็จะให้เจ้าฟ้าของเวียงนั้นปกครองต่อไป
แต่เจ้าชายและเจ้าหญิงของเวียงนั้นจะต้องไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรล้านนา ตามธรรมเนียมศึก
และทุกๆ ปีจะต้องส่งบรรณาการให้และเมื่อคราใดมีราชการสงครามเมืองที่เป็นเมืองขึ้นจำต้องเข้าร่วมรบ

กำลังจะเข้าสู่เขตเวียงโกศัยภาพตรงหน้าที่บุรุษทั้งสี่เห็นก็คือชาวบ้านขนข้าวของเทียมโคเทียมเกวียน
ต่างรีบร้อนเดินทางออกมาจากในเวียงเหมือนมีเภทภัย
บ้างก็หอบลูกจูงหลาน ด้วยอาการหวาดผวา

เมืองแมนเห็นเข้าก็เข้าไปถามไถ่ชายวัยกลางคนที่ขับเกวียนโดยมีเมียและลูกๆอีกหลายคนทั้งวัยเริ่มหนุ่ม
และยังละอ่อนนัก

“นี่พวกเอ็งจะตี้ไหนกัน...ท่าทางเร่งรีบร้อนขนาด”
ชายวัยกลางคนเห็นเป็นทหารล้านนาก็เบาใจหยุดโคที่กำลังเร่งฝีเท้าพร้อมยกมือไหว้

“พวกข้าจะรีบหลบเข้าไปอยู่ป่าตอนนี้ในเวียงอยู่บ่ได้แล้วก๊า...เพราะกำลังมีข้าศึกจากทางใต้ใกล้จะถึงในเวียงอีกบ่เมินแล้วข้าเจ้า”
“ศึกจากทางใต้...“
เมืองแมนทวนคำของชาวบ้านที่มีอาการหวาดหวั่นยกมือไหว้ประหลกๆ

“เมืองใดจะมาทำสงครามกับล้านนาอู้มาหื้อฮู้เรื่อง!!!...”
“ได้ยินมาว่าเป็นกองทัพจากอยุธยาข้าเจ้า...”

“กองทัพจากอยุธยา!!!”

ทั้งเมืองแมนพันเฮือง และไอ้แก้ว ต่างก็ร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน!
เพราะต่างก็พอรู้เรื่องอาณาจักรกรุงศรีอยุธยามาบ้างว่าเป็นอาณาจักรสยามที่อยู่ทางใต้สุโขทัยลงไป
และตอนนี้ก็ครอบครองดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนหมดสิ้นแผ่อิทธิพลไปทั่วที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาล

จะขื่อหาแค่พอเข้าใจเรื่องราวการสงครามของคนเมืองบ้างแต่อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
เป็นครั้งแรกที่มันได้ยิน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตมันก็อยู่แต่ในป่าในดอยพออายุ 16 ก็ถูกจับให้แต่งงาน
อยู่กินกับเมียที่อายุแค่ 14 ปี พอติดตามไอ้แก้วไปอยู่เวียงเชียงแสนจึงซึมซับเรื่องราวได้บ้าง

แต่ก็ไม่มากนักเพราะจะขื่อมีจิตใจใสซื่อ ไม่ซับซ้อนเหมือนคนเมือง
ในยามนั้นสองอาณาจักรเหนือ-ใต้ที่เป็นมหานครใหญ่ มีทั้งกำลังทหารที่เข้มแข็ง และแผ่อิทธิพล ณ ขณะนี้
ก็คือ อาณาจักรล้านนาทางตอนเหนือกับ อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาทางตอนใต้ เท่านั้น

เมื่อทราบอย่างนั้นขบวนของเมืองแมนก็รีบควบม้าเข้าไปในเวียงเพื่อสมทบกับทหารแห่งเวียงโกศัย
เมื่อไปถึงในเวียงโกศัยบ้านเมืองดูปั่นป่วนวุ่นวายโกลาหลด้วยต่างก็เตรียมรับศึกจากกรุงศรีอยุธยา
เพื่อจะมาทำศึกกับอาณาจักรล้านนา!

ทหารเข้าประจำการจนพร้อมพรักชาวบ้านเริ่มอพยพเข้ามาอยู่ในกำแพงเวียง
นอกเมืองจนเกือบจะเป็นเมืองร้าง...

เมื่อไปถึงในเวียงทั้งเมืองแมนและพันเฮืองต่างก็เข้าไปรายงานตัวต่อแม่ทัพของเวียงโกศัย
จึงได้รู้ว่า ในระหว่างที่ทั้งสองมาราชการที่เวียงนันทบุรีนั้น
เจ้าเมืองฝางอันเป็นเมืองทางทิศเหนือของนพบุรีได้ก่อกบฏขึ้น
เมื่อเจ้าหลวงทรงทราบจึงให้ยกทัพไปปราบแต่เจ้าเมืองฝางได้หนีไปได้เสียก่อน
และไปพึ่งเจ้าเมืองเทิงผู้เป็นสหาย

แต่เจ้าหลวงรับสั่งประหารชีวิตเจ้าเมืองฝางต่อหน้าเจ้าเมืองเทิงแบบไม่ไว้หน้า
ทำให้เจ้าเมืองเทิงผู้เป็นสหายไม่พอใจยิ่ง จึงได้มีสารลับไปถึงกรุงศรีอยุธยาให้ขึ้นมาตีล้านนา
ข่าวเกิดการรั่วไหลเจ้าหลวงแห่งล้านนาจึงสั่งลงโทษเจ้าเมืองเทิงอย่างรุนแรงโดยการประหาร
แล้วตัดหัวเสียบประจานแล้วส่งศรีษะเจ้าเมืองเทิงไปยังกรุงศรีอยุธยา
อยุธยาจึงถือเอาเหตุนี้คิดรุกล้ำขึ้นมาหมายจะตีเอาล้านนาให้จงได้

ไอ้แก้วได้ฟังแล้วก็นึกสังเวชใจเพราะสงครามครั้งไหนก็มีแต่ความเดือดร้อนไปทั่ว
เหตุการณ์ก่อกบฏของเจ้าหลวงเมื่อหลายปีก่อนยังติดอยู่ในความรู้สึกของเด็กหนุ่มไม่หาย
พ่อพลัดพรากจากลูกพี่พลัดพรากจากน้อง ครอบครัวแตกกระสานซ่านเซ็นต์เพราะคำว่าสงครามแท้ๆ

“สงครามอีกแล้ว...ยะหยังคนตึงชอบทำสงครามกันบ่จบบ่สิ้นอู้กันดีๆ บ่ได้ก่ะ”
เด็กหนุ่มเผลอพูดออกมาอย่างเสียใจครั้งก่อนแค่ศึกใน แต่คราวนี้เป็นศึกนอก ซ้ำยังดูจะใหญ่หลวงยิ่งนัก

“ข้าบ่เข้าใจคนเมืองเลยก่ะ...ยะหยังเปิ้นบ่อู้กันดีๆ ยะหยังต้องฆ่าต้องทำลายกั๋น”
“เอ็งโตในป่าเขา...เอ็งบ่ฮู้ดอกว่าสังคมเมืองนั้นต่างก็มีแต่การแย่งชิงและโหดร้ายจ๊าดนัก”

เมืองแมนบอกน้องร่วมสาบานด้วยน้ำเสียงนิ่งสีหน้าดูตึงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไอ้แก้วเห็นแล้วก็นึกกังวลใจเพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ศึก เมืองแมนของมัน
ก็ไม่เคยมีอาการกังวลเยี่ยงนี้มาก่อน แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก
เพราะศึกครั้งนี้นับว่าใหญ่หลวงยิ่ง เพราะเป็นศึกของสองอาณาจักรเหนือ - ใต้

บรรยากาศของเวียงน้อยแห่งนี้ตึงเครียดและวุ่นวายสับสนขึ้นมาถนัดตา
เพราะต้องรับศึกใหญ่เรือนหมื่นที่กำลังยกทัพมาจากทางใต้
วันต่อมาท่านแม่ทัพมอบหมายให้เมืองแมนและพันเฮืองเป็นผู้คุมการฝึกซ้อมรบให้กับทหารในเวียงนี้

ส่วนไอ้แก้วและจะขื่อ อาสาเข้ารับหน้าที่เป็นทหารอาสาสมัครเดินลาดตระเวนบนกำแพงเมือง
พอเดินผ่านสองทหารประจำป้อมหูก็ได้ยินทหารพูดคุยกันถึงเรื่องข้าศึกจากแดนใต้
เด็กหนุ่มกับจะขื่อจึงหยุดฟังอย่างสนใจใคร่รู้เพราะตั้งแต่เกิดมันเองก็ไม่เคยเห็นคนอยุธยามาก่อน

“เปิ้นว่ากันว่าคนใต้ตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำ หน้าตาดุดันเหมือนยักษ์ขมูขีมึงฮู้ก่อ”
“แต๊ๆ ก๋า... โอ้ย!... แล้วนี่หมู่เฮาจะบ่โดนพวกมันหยับ(จับ)ไปกินจนหมดเมืองเลยก๊าตายเซี้ยงๆ ตายเซี้ยงๆ!!!”
แต่ทันใดนั้นทหารร่างองอาจสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาสมทบ

“ตึงมันจะเป๋นยักษ์ก่อลองหื้อมันมา!!!... มันจะได้โดนดาบคนเวียงโกศัยฟันให้หัวขาดกระเด็น!!!”

ทหารผู้มีรูปกายกำยำล่ำสันเดินเข้ามาสมทบพูดด้วยอาการเดือดดาล
แม้ว่าที่ผ่านมาแต่ละเวียงแม้จะทำศึกกันไม่ได้ขาดแต่ศึกใหญ่ขนาดนี้นับเป็นครั้งแรก
ที่นครฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้จะทำสงครามกัน

***คนใต้ ในความหมายของชาวล้านนาหมายถึงเมืองที่อยู่ตอนใต้ของอาณาจักรล้านนาลงไป

ทหารผู้ที่เข้ามาใหม่มีรูปกายโดดเด่นเตะตาแม้ใบหน้าไม่ถึงกับหล่อเหลา แต่ก็คมคายองอาจ
และมีร่างกายแข็งแรงแกร่งงามสูงใหญ่แบบบุรุษเพศในอุดมคติ
ผิวกายของนายทหารร่างสูงใหญ่ผู้นี้ไม่ได้ขาวมากนักรอยสักถูกสักตามหน้าอก ตามลำตัว
ที่พุงและต้นขาจนดำพร้อยสวยงามน่าชม

ตามร่างกายมีร่องรอยของคมศาสตราวุธอยู่หลายจุด
คล้ายคลึงกับเมืองแมนยิ่งทำให้นายทหารหนุ่มแห่งเวียงโกศัยผู้นี้ดูห้าวหาญยิ่งนัก
เด็กหนุ่มหยุดมองทหารผู้เข้ามาใหม่อย่างสนใจทั้งบุคลิก และความองอาจที่ทำให้เด็กหนุ่มเผลอมองอย่างไม่วางตา

“นายกองโชติ!!!...”  

มันทั้งสองคนเหมือนพร้อมใจกันเรียกชื่อนายทหารผู้มาใหม่
ผู้มียศนายกองคุมป้อมปราการฝั่งทิศใต้อันเป็นทิศนี้ผู้มีนามว่า นายกองโชติ
นายทหารวัยฉกรรจ์อายุราว 29 ปี ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ กำยำ และบึกบึน!

ทหารประจำป้อมทั้งสองพอรู้ว่าผู้มาเป็นใครก็ทำท่าเคารพโทษของทหารที่เกรงกลัวข้าศึก
นับว่าไม่ใช่โทษเล็กๆและสิ่งที่พูดออกไป ผู้บังคับบัญชาก็ได้ยินเต็มสองหู

มันสองคนถึงกับหน้าซีดเผือดด้วยอาการหวาดหวั่นด้วยกลัวโทษภัย
นายกองโชติมองมันสองคนแน่นิ่งแววตาคมกร้าวฉายไปที่ใดก็สร้างความสะท้านใจแก่สองทหารเป็นยิ่งนัก
แต่เมื่อทหารหนุ่มออกปากเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้นทหารประจำป้อมทั้งสองก็แทบจะคุกเข่าลงต่อหน้าผู้บังคับบัญชาหนุ่ม

“ต่อไปอย่าหื้อข้าได้ยินว่าพวกเอ็งอู้ว่าข้าศึกว่ามันเก่งกล้ากว่าพวกเฮาชาวล้านนาเยี่ยงนี้อีก! ฮู้ก่อ”
ทหารหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดดูองอาจ
ทหารประจำป้อมทั้งสองรับคำพร้อมเพรียงด้วยความตื้นตันใจแล้วกลับไปเฝ้าป้อมต่อ

เด็กหนุ่มคงเผลอมองทหารหนุ่มยศสูงนานไปหน่อยทำให้ทหารหนุ่มหน้าคมคายหันมาเห็นพอดี
เด็กหนุ่มถึงกับสะเทิ้น! ที่เผลอมองอีกฝ่ายจนลืมตัว จึงรีบเดินดุ่มๆผ่านไป
แต่อีกฝ่ายใช้ดาบขวางไว้เสียก่อนไอ้แก้วถึงกับตกใจ แต่จะขื่อชักดาบออกมาปัดดาบอีกฝ่ายไว้
จนเกิดเสียงดัง

เคร้งงง!!!...

“นั่นเอ็งจะทำอะหยัง!”
จะขื่อถามอีกฝ่ายอย่างอาจหาญพร้อมต่อกรกับคนตรงหน้าแบบไม่เกรงกลัว

“ข้าน่าจะถามพวกเอ็งสองคนมากกว่าว่าพวกเอ็งเป็นไผ... ยะหยังข้าบ่เกยหันหน้าหันตามาก่อน”
“แล้วเป็นหยังพวกข้าสองคนตึงต้องบอกสูด้วย”
จะขื่อยังคงเถียงคอเป็นเอ็นด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายไอ้แก้ว

“อ้ายจะขื่อหยุดก่อน...”
เด็กหนุ่มดันให้อีกฝ่ายหลบไปข้างหลังเพราะรู้ว่าจะขื่ออาจจะไม่เข้าใจระบบระเบียบของทหาร
ว่าบังคับบัญชากันตามลำดับชั้นอย่างเคร่งครัดเพียงไหน
และด้วยสถานการณ์ในตอนนี้การที่อีกฝ่ายสงสัยว่าพวกมันเป็นใครจึงไม่ผิด

“สุมมาเต๊อะท่านนายกอง...ข้ากับอ้ายของข้าเป็นชาวเมืองนพบุรี
พวกข้าไปราชการที่เวียงนันบุรีขากลับผ่านมาที่เวียงนี้ได้ยินว่ากำลังมีศึกจึงอาสามาช่วย...
หากนายกองบ่เจื้อลองหื้อคนไปถามท่านแม่ทัพก่อได้”

“พวกเอ็งมากันกี่คน”

“สี่คน...”

“อ้อ... งั้นข้านึกออกล่ะ...ที่ท่านแม่ทัพอู้หื้อฟังว่ามีทหารจากเวียงเขลางค์ผ่านมาคือพวกเอ็งนั่นเองแม่นก่อ”

“ขอรับ...”

ไอ้แก้วตอบอย่างนอบน้อมพอเจอสายตาคมปลาบของอีกฝ่าย
อดหลบสายตาวูบด้วยอาการประหลาดอย่างช่วยไม่ได้
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนวูบวาบตามสายตาคมของนายทหารแห่งเวียงโกศัยตรงหน้า

“เอ็งงามจะอี้ออกรบได้แน่ก๊า... ข้าว่าไปคอยบีบนวดหื้อข้าที่เรือนดีกว่าจ๊าดนัก... ฮ่าฮ่าฮ่า!!!”

นายทหารหนุ่มเชยคางของเด็กหนุ่มขึ้นมองเต็มๆตาก็ยิ่งได้พบกับความรูปงามของอีกฝ่าย
ที่ไม่เพียงใบหน้าหมดจดหนำซ้ำผิวพรรณยังขาวเนียนไม่แพ้แม่ญิงเลย
สายตามคมๆของนายทหารหนุ่มพยายามเพ่งลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจในรูปกายของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มเองก็มีอาการขวยเขินอย่างน่าประหลาด!
“ได้บ่ได้ก่อมาลองต่อยตีกันเหียก่อนเอาก่อ!!!...”

จะขื่อชักดาบออกมาชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างห้าวหาญด้วยไม่ชอบใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
ที่พูดเหมือนดูแคลนอยู่หลายครั้งจึงตั้งข้อรังเกียจตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรก

“เออ... เจ้าคนนี้หน่วยก้านดีแต๊...ตัวสูงใหญ่ ดูคล่องแคล่ว... แต่อู้เหมือนบ่ฮู้ตี้ต่ำตี้สูงจะอี้ระวังไว้เน้อระวังจะบ่ได้ตายดี...ฮ่าฮ่าฮ่า”
นายกองหน้าคมพูดแล้วก็หัวเราะร่าแบบไม่แยแสจะขื่อแม้แต่น้อยแล้วเดินตรวจประตูเมืองต่อไป

“ปล่อยข้า...ข้าจะเอาเรื่องก๋ามัน!!!”
“อ้ายจะขื่ออย่าอ้าย!”

เด็กหนุ่มพยายามห้ามอีกฝ่ายให้ระงับโทสะที่โดนหยามเหยียดด้วยคำพูด
ทั้งน้ำเสียงและแววตาของอีกฝ่ายไอ้แก้วก็เห็นตลอด
จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินจากไปด้วยท่วงท่าองอาจแกมเย่อหยิ่ง

แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็อดประทับใจในความผึ่งผายสมชายชาตรีของอีกฝ่ายอย่างมาก
วันทั้งวันเด็กหนุ่มและจะขื่อยืนเฝ้าประตูเมืองจนกระทั่งตะวันคล้อยต่ำ
จึงมีทหารมาสับเปลี่ยนบนประตูเวียงพอมีทหารยามมาเปลี่ยนกะ

พรานหนุ่มก็กุมท้องบอกปวดท้องหนักแล้วรีบล่วงหน้าไปก่อน
ไอ้แก้วก็หัวเราะขำอีกฝ่ายแล้วเดินตามลงไป

แต่พอถึงบันไดทางลงจากป้อมยามก็มีมือมาหยาบใหญ่แข็งแรงมาปิดปากของเด็กหนุ่มไว้
เด็กหนุ่มพยายามดิ้นและสะบัดตัวออกแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของอีกฝ่ายได้
และเพราะไม่ทันตั้งตัวเลยถูกจับแขนไพล่หลังเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายแข็งแรงปานเหล็กกล้า

ยากที่เด็กหนุ่มผู้อยู่กับงานพัดงานวีงานดนตรีอย่างมันจะทานไหว
แม้ว่าจะมีวิชาดาบติดตัวอยู่บ้างแต่ก็ถูกสอนให้สู้ซึ่งๆ หน้า
แต่ถ้าเป็นการสู้ระยะประชิดตัวเด็กหนุ่มจึงไม่มีทักษะที่จะป้องกันได้เลย
ตอนนี้เด็กหนุ่มถูกปิดปากจนเจ็บหนึบที่ใบหน้ามือแข็งเหมือนเหล็กของอีกฝ่ายสามารถหักคอมันก็ย่อมทำได้

นาทีนั้นเด็กหนุ่มนึกไปถึงคำพูดของทหารประจำป้อมที่พูดถึงข้าศึกคนใต้ที่กำลังยกทัพผ่านมาเวียงนี้ขึ้นมาทันที
เหงื่อของไอ้แก้วแตกพร่างพรูออกมาราวห่าฝนด้วยความกลัวตาย

กลิ่นกายของบุรุษผสมกับกลิ่นบุหรี่ของอีกฝ่ายทำให้ไอ้แก้วรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย!
กายแนบกายเนื้อแนบเนื้อมันสับผัสได้ถึงความแกร่งแข็งแรงของกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
ไอ้แก้วรู้สึกว่าอาวุธไม่ดาบก็เป็นอาวุธอันตรายของอีกฝ่ายกดทับลงที่กลางลำตัวของมัน
มันก็ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิตจับใจ

เด็กหนุ่มพยายามจะร้องแต่ยิ่งดิ้นคนที่ปิดปากมันไว้ก็ยิ่งปิดปากไอ้แก้วแรงขึ้น
แขนที่โดนจับไพล่หลังก็ยิ่งโดนกดจนปวดหนึบ!

“อื้อออ!!!”
“ชู่ว์! อย่าฮ้อง... เงียบๆ ไว้!!!”

เสียงของอีกฝ่ายกระซิบข้างๆหูเด็กหนุ่ม แต่ความกลัวทำให้ไอ้แก้วหยุดดิ้นรนขัดขืนตามคำสั่ง
จนอีกฝ่ายปล่อยมือจากปากของมันเด็กหนุ่มจึงถามออกไปทั้งๆ ที่มือยังโดนจับไพล่หลังอยู่

“เอ็งเป็นไผ!!!... เอ็งจะทำอะหยังข้า!!!”
“ข้าบ่ได้คิดทำร้ายเอ็งดอก... แค่อยากอู้ด้วย”

พอจับน้ำเสียงของอีกฝ่ายไอ้แก้วก็จำได้ว่าเป็นนายกองโชติ!!!

“นายกองโชติ!!!”
“ใจ้แล้วเป็นข้าเอง...”
“แล้วท่านมาจับข้าไว้ยะหยัง”

เด็กหนุ่มพยายามดิ้นจนหลุดจากการจับมือไพล่หลังจากน้ำมือของนายทหารหนุ่ม
ไอ้แก้วบีบนวดข้อมือด้วยความเจ็บจนหน้านิ่ว
นายทหารหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาแนบชิดเอามือเชยคางของเด็กหนุ่มขึ้น
แล้วเอาหน้าเข้ามาแนบจนเกือบชิด

“เอ็งทำให้ข้ามีความต้องการ...”
“ท่านนายกองต้องการ...อะหยัง”

เด็กหนุ่มถามด้วยเสียงสั่นเครือ รู้สึกว่าที่ท้องน้อยมีสิ่งหนึ่งแข็งๆดันจนแนบชิดซาบซ่าน
ซึ่งมันเองก็ไม่น่าถามโง่ๆ เพราะใช่ว่ามันเองจะไม่เคยกับเรื่องแบบนี้เด็กหนุ่มก้มหน้าต่ำด้วยความกระดาก
นายทหารหนุ่มจึงกอดรัดร่างนั้นเข้าชิดผนังอิฐแล้วเริ่มไซ้ซอกคอขาวๆ ของเด็กหนุ่มอย่างหื่นกระหาย ราวกำลังบ้าคลั่ง!
ดึงมือเด็กหนุ่มไปกำที่อาวุธที่ชูชันของตัวเอง เด็กหนุ่มสัมผัสก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณทันที

ว่าท่านนายกองมีอาวุธประจำกายขนาดทั้งใหญ่และยาว!!!

“ท่านนายกองอย่า!!!...”

มันพยายามผลักไสอีกฝ่ายให้ออกจากการรุกล้ำอย่างหนักหน่วง แต่ร่างกายมันเองกลับสั่นสะท้านยามถูกปลุกปล้ำก้ำเกิน
เพราะมันเองก็เริ่มส่งเสียงครวญครางสั่น ตามการกระทำของอีกฝ่าย......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น