วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บำบัดรักนักรบแดนเถื่อน 27 ได้เมืองเชียงทองล้านช้าง

หลังจากที่ทัพหลวงของล้านนาเข้าป้องกันเวียงนันทบุรี
จากการรุกรานของเมืองเชียงทองล้านช้างไว้ได้

ทัพหลวงของล้านนาก็เข้าพักทัพอยู่ในเวียงนันทบุรีหลายวันเพื่อรอฟังคำสั่งจากองค์เจ้าหลวง
ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของราชอาณาจักรล้านนาอันเกรียงไกร!

เท่าที่ทราบจากเมืองแมนและขุนทหารชั้นสูง
ความผิดในการเข้ารุกรานเวียงนันทบุรีในครั้งนี้ของเชียงทองทำให้องค์เจ้าหลวงทรงเคืองพระทัยเป็นอันมาก!

ขุนทหารทุกผู้ทุกนายจึงได้แต่รอฟังคำสั่งและเตรียมความพร้อมในการเข้าโจมตีอาณาจักรด้านทิศตะวันออก
เพื่อปกป้องทวยราษฏร์แห่งล้านนาทั้งอาณาจักรอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป!

................................................................................

หลายวันนี้ไอ้แก้วและขุนทหารล้านนาซึ่งพำนักอยู่ในเวียงนันทบุรี
ถึงแม้จะอยู่กันอย่างสุขสบายแต่ก็มีการเตรียมความพร้อมอยู่ทุกเมื่อหากมีคำสั่งให้ออกทำการศึก

เมืองแมนคุยเรื่องการศึกกับท่านแม่ทัพและทหารยศสูงจนแทบไม่เห็นหน้าค่าตา
ส่วนจะขื่อก็อาศัยอยู่นอกเวียงเพื่อคอยสอดส่องความเป็นไปของทัพเมืองเชียงทอง
ที่อาจจะซุ่มอยู่ตามหุบเขาคอยดูความเคลื่อนไหวของกองทัพล้านนา

จนกระทั่งวันที่ห้าของการพำนักอยู่ ณ เวียงนันทบุรี
ในที่สุดม้าเร็วก็มีสารจากเจ้าหลวงล้านนา ก็ส่งมาถึงท่านแม่ทัพใหญ่
เป็นคำสั่งให้ทัพหลวงร่วมกับทัพของเวียงนันทบุรีเข้าทำศึกกับเมืองเชียงทองล้านช้าง!!!

เมื่อท่านแม่ทัพได้ราชสารจากองค์เจ้าหลวง ก็สั่งนำทัพบุกเข้าโจมตีเมืองเชียงทองในทันที!!!

การเดินทางทำศึกที่เริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนนั้นอากาศร้อนจนเหงื่อใครไหลย้อย!
แต่ขุนทหารแห่งล้านนาล้วนเดินทางกันอย่างห้าวหาญ ทุกนายต่างก็ไม่นึกเกรงกลัวอันใด
หาได้นึกถึงความยากลำบากกายา และเหน็ดเหนื่อยซักเพียงนิดก็หาไม่

เพราะการศึกครั้งนี้มันทุกนายล้วนทราบดี ว่าไม่ได้เกินอำนาจอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างล้านนาแน่นอน
ที่จะป้องปรามเมืองเชียงทองล้านช้างให้หยุดทำการลุกล้ำดินแดนภายใต้อาณาจักรล้านนาเสีย
เหมือนเป็นการตัดไม้ข่มนามเท่านั้น หาได้คิดเน้นฆ่าฟันให้ไพร่บ้านพลเมืองเชียงทองตกตายก็หาไม่

เพราะอาณาจักรเชียงทองล้านช้างซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเวียงนันทบุรีนั้น
พูดไปก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมาช้านาน ด้วยก่อตั้งมาอย่างยาวนานพอกัน

นับตั้งแต่สมัย “โยนกนครนาคพันธุ” แห่งเวียงเชียงแสน
(จึงเป็นที่มาของคำว่า ไทโยน ,ไทยวน ซึ่งถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุดของล้านนา)

ตลอดเวลาการก่อตั้งอาณาจักรน้อยใหญ่ที่อยู่รายรอบใกล้ชิดกันมานับพันปีหลายอาณาจักรก็เหมือนญาติ
แต่คราใดที่ญาติอ่อนแอ เมืองที่เรียกว่าญาติก็จะเข้าทำการรุกราน บ้างก็ปกครอง
และกวาดต้อนผู้คนไปเป็นพลเมืองอยู่เสมอๆ

และครานี้การที่เมืองเชียงทองคิดการใหญ่บุกเข้าตีเวียงนันทบุรี
จึงทำให้เจ้าหลวงแห่งล้านนาเคืองพระทัยมากที่สุด เพราะถือว่าเป็นการไม่ไว้หน้ากัน
การศึกระหว่างล้านนากับเชียงทองล้านช้างจึงเกิดขึ้นก็ด้วยสาเหตุการกระทำในครั้งนี้

.......................................................................................

ทางฝ่ายอาณาจักรเชียงทองล้านช้าง

ตั้งแต่ทัพแตกพ่ายหนีกลับจนถึงเมืองเชียงทอง
เจ้าหลวงเชียงทองพอทราบเรื่องราวก็รีบสั่งการให้ไพร่พลเข้ามาอาศัยอยู่ในกำแพงเมือง
ให้ทหารอยู่ป้องกันรอบๆ นครเรือนหมื่นเพื่อเตรียมรับศึกของอาณาจักรล้านนาในครั้งนี้!

พอชาวเชียงทองรู้ว่าจะเกิดเหตุล้านนาเข้ามาตีถึงประตูเมือง ก็เกิดโกลาหลไปทั่ว
ความวุ่นวายเกิดกับไพร่ฟ้ากันถ้วนหน้า!

ด้วยว่าตอนนั้นหลายอาณาจักรต่างทราบถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรล้านนาดี
ว่าบัดนี้สามารถรวมเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่รายรอบ รวบรวมจนกลายเป็นอาณาจักรเดียวกันได้สำเร็จ

นอกจากนี้หลายอาณาจักรต่างก็ทราบถึงความกล้าหาญของขุนทหารแห่งล้านนาด้านการศึก
ทำให้อำนาจของล้านนาแผ่ขยายไปทั้งทิศเหนือ-ใต้ ออก-ตก

แม้แต่อาณาจักรยิ่งใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยาที่ว่าแกร่งกล้าด้านทักษิณทิศ
ก็ยังไม่อาจเอาชนะสิงห์ใหญ่ตัวนี้ได้

ณ ขณะนั้นจึงเกิดความความระส่ำระสาย เป็นที่หวาดกลัวไปทั่วทั้งเมืองเชียงทองล้านช้าง!

.........................................................................................

ทางฝ่ายทัพหลวงล้านนาที่มีกองทัพเรือนหมื่น
ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเดินทัพออกจากเขตแดนเวียงนันทบุรีจนเข้าเขตแดนเมืองเชียงทอง
พรักพร้อมด้วยข้าวปลาอาหารที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียงนันทบุรีเป็นอย่างดี!

ขุนทหารล้านนาทุกผู้ทุกนายล้วนบังเกิดความห้าวหาญหวังจะตีเอาเมืองเชียงทองให้แตกพ่ายในเร็ววัน!
นับตั้งแต่สมัยโบราณ การที่กองทัพล้านนาทำศึกอาณาจักรเชียงทองจึงถือได้ว่าเป็นการสงครามหวังจะตีให้ราบคาบก็ว่าได้!

เพียงไม่กี่วันทัพหลวงของล้านนาที่มีรี้พลหลายหมื่นก็บุกเข้ามาจนถึงหน้าประตูเมืองเชียงทองล้านช้าง!!!
เสียงกลองศึก เสียงม้า เสียงช้าง เสียงอาวุธที่ดังกึกก้องกังวาน ดังข่มขวัญไปทั้งหน้าเมืองเชียงทอง!

เมืองเชียงทองนั้นมีศิลปะที่งาม ทั้งวัด วัง คุ้มหลวง โบสถ์ วิหาร สิม ที่งามล้ำไม่น้อยไปกว่าอาณาจักรใดก็ว่าได้
การได้พบชาวเมืองเชียงทองในครั้งนี้ทำให้ไอ้แก้วได้ทราบว่า
ทั้งหน้าตา การแต่งกาย ภาษา ศิลปะกรรม ทุกสิ่งล้วนแทบจะไม่แตกต่างจากล้านนาเลย
ถ้าไร้ซึ่งสงครามคงเป็นเมืองงามที่น่าอยู่ยิ่งนัก

เพราะบัดนี้ชาวเมืองต่างอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน! บ้างก็พาครัวหนีลงไปที่เมืองอื่นอย่างหวาดเกรงศึก!
บรรยากาศที่เศร้าสลดก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่มีการทำศึกเพื่อประหัตประหารกัน!

ไอ้แก้วเห็นแล้วก็นึกสลดใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสียก็พี่น้องกันทั้งนั้นใยจึงต้องเข่นฆ่ากันไม่จบสิ้น!
แต่การนี้เป็นเรื่องของการตอบโต้ถึงสิ่งที่เมืองเชียงทองได้ทำไว้กับเวียงนันทบุรี
ไอ้แก้วจึงมิอาจทำจิตใจให้อ่อนไหวเช่นอิสตรีได้ไม่

เสียงกลองสะบัดชัยเสียงร้องของขุนทหารแห่งล้านนาเรือนหมื่นดังกระหึ่มไปทั้งหน้ากำแพงเมือง!
เพื่อข่มขวัญผู้เป็นเจ้าของเมืองให้ยอมสยบก่อนที่จะถูกทำลายจนย่อยยับ!

ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ส่งสารถึงองค์เจ้าหลวงแห่งเชียงทองให้ยอมศิโรราบเพื่อไม่ให้เสียเลือดเนื้อไพร่พล
ทางทัพล้านนารอฟังการตัดสินใจของเมืองเชียงทองอยู่ไม่ถึงวัน
ท่านแม่ทัพใหญ่ของเมืองเชียงทอง และขุนทหารกล้าอีกสองนาย
ก็ออกจากประตูเมืองเพื่อขอยอมศิโรราบยอมแพ้การศึกในครั้งนี้!

“องค์เจ้าหลวงเชียงทองล้านช้างขอยอมแพ้แก่กองทัพหลวงแห่งล้านนา
...ขอท่านแม่ทัพจงอย่าได้ทำร้ายไพร่บ้านพลเมืองของหมู่เฮาเลย”

ท่านท้าวพญาคนนี้หน้าตาคุ้นๆ และพอหันไปมองขุนทหารที่ตามท่านมา
ไอ้แก้วจึงจดจำได้ว่าเป็นท่านพญาที่เคยเดินทางผ่านและเข้าพักเวียงเชียงแสนเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง

บัดนี้ “ขุนวิชิต” ขุนทหารกล้าผู้นั้น ผ่านมาหลายปีก็ยิ่งสง่างามสมชายด้วยวัยที่ฉกรรจ์ขึ้น!
เมื่อท้าวพญาของเมืองเชียงทองนั่งพูดคุยการยอมรับเข้าเป็นเมืองขึ้นของล้านนาอยู่นั้น
ไอ้แก้วมองขุนวิชิตจนเผลอยิ้มให้แก่ขุนวิชิตทหารรุปหล่อก็มองตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ด้วยไม่พอใจที่จะยินยอมสงบศึก เพราะนั่นหมายถึงการเป็นเมืองขึ้นของล้านนาตลอดไป!!!

แต่พอมองไอ้แก้วที่มีรูปหน้าหล่อเหลาหมดจด มันก็เริ่มจดจำได้
ขุนวิชิตทหารรูปหล่อถึงกับทำหน้าตกใจ แต่ขณะเดียวกันก็ดีใจระคนกัน!
ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาที่ท้าวพญาแห่งเมืองเชียงทองพูดคุยกับท่านแม่ทัพอินตาราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“วันพรุ่งขอท่านแม่ทัพและขุนทหารแห่งล้านนาเข้าสู่เมืองเชียงทองเพื่อทานข้าวปลาอาหารให้อิ่มหนำแลสำราญด้วยเถิด”
“เมื่อเป็นเช่นที่ท่านท้าวพญาว่า...ต่อไปเมืองเชียงทองล้านช้างก็คือบ้านพี่เมืองน้องกับล้านนาสืบไป!”

ท่านท้าวพญาเมืองเชียงทองมีสีหน้าลำบากยากใจยิ่ง แต่รู้ว่าเป็นแต่เพียงเมืองน้อยไพร่พลก็มีไม่มากไม่อาจเอาชัยทัพล้านนาได้
ถึงต่อสู้ไปพลเมืองก็มีแต่จะได้ยาก เวียงวังบ้านเมืองก็ล้วนต้องเสียหายเพราะการศึก
การศึกกับเชียงทองล้านช้างครั้งนี้ จึงจบลงด้วยดีโดยไม่มีการบาดเจ็บล้มตายลงแม้เพียงคนเดียว!

..................................................................................

วันต่อมาเมื่อทัพหลวงของล้านนาเข้าสู่เมืองเชียงทองล้านช้าง
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต่างก็นั่งหมอบราบกับพื้นด้วยความกลัวเกรงในอำนาจทหารล้านนา

ต่างจากขุนทหารของเมืองที่ถึงแม้องค์เจ้าหลวงจะยอมแพ้ขอเป็นเมืองขึ้นเพื่อรักษาชีวิตไพร่ฟ้าให้ปลอดภัย
แต่ขุนทหารที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ต่างก็อยากจะสู้ให้รู้แพ้ชนะแต่นั่นก็มิอาจจะทำได้
สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงการยอมก้มหัวให้ทั้งๆที่ใจคอปวดร้าวหนักหนา!

งานเลี้ยงทัพศึกของล้านนาเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้เกียรติทัพหลวงล้านนา
ด้วยอาหารคาวหวานและเหล้ายา ข้าวปลาอาหาร อย่างพร้อมเพรียง

ด้วยว่าเมืองเชียงทองล้านช้างยอมแพ้ขอเป็นเมืองขึ้นแต่โดยดี
ท่านแม่ทัพใหญ่จึงสั่งให้ขุนทหารทุกนายที่อาจจะมีความกำหนัด
ห้ามกระทำการรุนแรงผิดลูกเมียของชาวเมืองเชียงทองเป็นเด็ดขาด!
ทหารนายใดทำการผิดคำสั่งให้ตัดหัวเสีย ชาวเมืองเชียงทองถึงได้อยู่กันอย่างสบายใจ

……………………………………………………………………………………

เมื่อท่านแม่ทัพอยู่ควบคุมเมืองเชียงทองล้านช้างได้หลายวัน
ท่านก็ได้อัญเชิญ เจ้าชาย และ เจ้าหญิง ของเจ้าหลวงเชียงทองหลายพระองค์
ให้ไปเป็นองค์ประกันที่อาณาจักรล้านนา นำไปพร้อมด้วยทรัพย์สินอันมีค่าอีกมากมาย
ทั้งทองคำ เงิน เพชรพลอย และผ้าไหมชั้นดี

และขาดไม่ได้นั่นก็คือ "ไพร่ทาส" อีกหลายพันคนที่ต้องถูกกวาดต้อนไปยังนพบุรีศรีนครพิงค์ล้านนา
อันเป็นบำเหน็จศึกของผู้ที่ชนะสงคราม และไพร่พลเหล่านี้จะเข้าไปเป็นประชากรของอาณาจักรล้านนาเพื่อเพิ่มกำลังคน
ดังคำที่ว่า...

"เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" นั้นแล
(เป็นการเทครัวคนของเมืองอื่นๆ ทั้งลาว ไทใหญ่ ลื้อ เขิน ยอง ฯลฯ
จากเมืองทีพ่ายแพ้สงครามให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งสมัยก่อนถือว่านิยมทำกันมาก
เพราะเป็นการเพิ่มประชากรให้กับเมืองได้รวดเร็วที่สุด)

วันที่ต้องส่ง เจ้าชาย เจ้าหญิง ขององค์เจ้าเหลวงเชียงทอง และบรรดาไพร่ทาสเพื่อไปยังล้านนา
ยังความเศร้าเสียใจมาสู่องค์เจ้าหลวงและชาวเมืองเป็นอย่างมาก จนน้ำตาแทบจะท่วมเมืองก็ว่าได้
แต่ถ้าไม่ให้ก็ต้องเสียทั้งเมือง เสียทั้งคน ไพร่ ทาส ขุนทหารเสียชีวิตอีกมากกว่านัก
การยินยอมให้เจ้าชาย เจ้าหญิง และบรรดาไพร่อีกบางส่วนจึงเป็นทางออกที่เสียหายน้อยที่สุด

เสียงร่ำให้ดังระงมไปตลอดเส้นทางที่ขบวนเสด็จของ เจ้าชาย เจ้าหญิง ถูกอัญเชิญไป
ไอ้แก้วเห็นแล้วเป็นที่เศร้าสลดใจยิ่งนักแต่มันเป็นเรื่องของการศึกมันเองก็ไม่กล้าคิดให้เป็นอื่น
เพราะตัวมันเองก็เคยผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายแบบนี้มาไม่ต่างกัน

ไพร่ทาสที่ถูกนำตัวไปก็ยกไปทั้งครัว ทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลูก และหลาน

......................................................................................

หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่ท่านแม่ทัพได้สั่งการให้เมืองแมน และ ขุนพันเฮือง สองขุนพลเอก
อยู่คุมกองทัพล้านาด้วยกองทหารเรือนหมื่นนาย
เสียงร้องไห้ของชาวเมืองก็ยังดังระงมอยู่อีกนานหลายวันได้ยินอยู่เป็นระยะในความสูญเสียทีเกิดขึ้น

กองทัพล้านนาอันมีเมืองแมน และ ขุนพันเฮือง คอยอยู่คุมทัพกลางเมือง
ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากคุ้มหลวงของเจ้าหลวงเชียงทองเท่าใดนัก จึงทำหารสอดส่องความเป็นไปได้อย่างง่ายดาย
แต่จนถึงบัดนี้ไอ้แก้วก็ยังไม่ได้เห็นหน้าของขุนวิชิตชู้เก่าที่มันเคยปรนนิบัติอย่างดีเมื่อหลายปีก่อนซักครั้งไม่

ทุกคราที่ชนะศึกเมืองที่ชนะศึกต้องทำการจดบันทึกแผนผัง ค่ายคู ประตูเมือง ของทั้งเมืองแห่งนั้นๆ ไว้
เพื่อนำกลับไปแจ้งแก่ทางนครหลวงให้ได้รับรู้ถึงผังเมืองที่ชนะมาได้ด้วยการจดบันทึกบนใบลาน
และหน้าที่นี้ไอ้แก้วก็เป็นคนทำมาโดยตลอดด้วยต้องใช้ผู้ที่เจนหนังสือ
ทำให้มันได้รู้เห็นแผนผังและวังวัดของแต่ละเมืองอย่างชัดเจนยิ่ง

และวันนี้มันก็ได้ออกทำหน้าที่นี้ตั้งแต่เช้า
แต่สถานที่แรกที่มันไปกลับอยู่นอกเมืองหาใช่ในเมืองอย่างที่ควรจะเป็นไม่

ไอ้แก้วขี่ไอ้ขาวม้าแสนรู้ประจำตัวที่ได้รับมาจากเจ้านายเก่า คือท่านเจ้าหมื่นเรืองณรงค์ จากเวียงเชียงแสนนั่นเอง
มันและม้าขาวควบไปตามถนนของเมืองงามที่คลับคล้ายเวียงนันทบุรีราวกับเป็นเมืองเดียวกัน
จนควบม้าขาวผ่านทางออกนอกประตูเมืองไอ้แก้วจึงถามเหล่าทหารประจำประตูเมืองว่า...

“เอ็งทราบหรือไม่ว่าเรือนของขุนวิชิตอยู่ที่ใด!”

ทหารหลายนายที่คุมประตูเมืองต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความแปลกใจ
บ้างก็ทำสีหน้าที่ไม่พอใจนัก แต่ก็ยังไม่กล้าแสดงออกอย่างชัดเจนมากเกินไป

“นายท่านมีการใดกับท่านขุนรือขอรับ”
ไอ้แก้วไม่ได้คิดอยากใช้พระเดชเท่าใดนักถึงแม้ว่าจะมีสิทธิ์ในการใช้ก็ตาม

"ข้าเป็นสหายเก่าของท่านขุน...เอ็งยังอยากรู้อะไรอีกหรือไม่!"
“ขอโทษด้วยขอรับ!...ข้าเพียงจะถามท่านเพื่อจะได้ช่วยเหลือท่านได้ตามสมควร”
ทหารเหล่านั้นจึงได้แต่บอกถึงเรือนที่อยู่ของขุนวิชิตด้วยความเกรงกลัวโทษ

เมื่อได้ทราบว่าขุนวิชิตอยู่ที่ใดไอ้แก้วก็ควบม้าไปอย่างเร็วรี่จนออกมานอกเมืองไม่ไกลนัก
ก็เจอบ้านที่ทหารเหล่านั้นได้แจ้งไว้

เบื้องหน้าของไอ้แก้วคือเรือนไม้หลังใหญ่กว้างขวางด้วยเป็นบ้านของทหารชั้นสูง
หนำซ้ำยังเป็นหลานชายของท่านพญาผู้เป็นแม่ทัพของเมืองเชียงทองล้านช้าง
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้า แต่ก็มีอำนาจและยศสูงยิ่ง

ขณะที่ยืนมองสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่
ไพร่ชายหน้าตาดีผิวขาวหมดจดสองนายในชุดเสื้อผ้าฝ้ายกับผ้าเตี่ยว
ดูไปก็หาแตกต่างไพร่ทาสในอาณาจักรล้านนานัก กำลังเดินขึ้นบนเรือน

“หยุดก่อน!!!”

ไพร่รับใช้สองคนมองมาพอเห็นว่าเป็นทหารแห่งล้านนาที่พึ่งเข้าควบคุมราชอาณาจักรไว้ก็ถึงกับหน้าเสีย!
นั่งหมอบลงกับพื้นอย่างเกรงอำนาจขุนทหารรูปงามแห่งล้านนาปากคอสั่น!

“ที่นี่เป็นเรือนของท่านขุนวิชิตใช่หรือไม่!”
“ใช่ๆ...ใช่แล้วขอรับ...นายท่านมีอันใดขอรับ!”
สองไพร่รับใช้พูดด้วยความเกรงกลัว

"ข้าเป็นสหายของท่านขุนวิชิตมีการต้องพูดคุยกันท่านอยู่หรือไม่"
ข้ารับใช้หนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอย่างเกรงๆ แล้วหันมาตอบไอ้แก้วว่า...

“ท่านขุนไปคุ้มหลวงตั้งแต่เช้าแต่อีกซักพักก็คงกลับ...เชิญนายท่านไปรอบนเรือนดื่มน้ำให้เย็นใจก่อนนะขอรับ”
มันสองคนสมกับเป็นข้ารับใช้เจ้านายชั้นสูง เพราะถึงจะดูเกรงกลัวแต่ก็ตอบคำได้อย่างรู้งานเจ้านาย
แล้วมันทั้งสองก็พาไอ้แก้วเข้าไปนั่งรอบนเรือนต้อนรับพร้อมน้ำผลไม้ที่หามาให้ทาน

“พวกเอ็งจะไปทำอะไรก็ไปเถอะเดี๋ยวข้าอยู่รอท่านขุนเอง”
“ขอรับนายท่าน!”

พอมันทั้งสองก็ลงจากเรือนไป

ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงม้าหลายตัวควบมาถึงหน้าเรือน ไอ้แก้วมองออกไปก็เห็นเป็นขุนวิชิตชู้เก่านั่นเอง
ทันทีที่ได้เห็นจิตใจก็สั่นรัวด้วยความคิดถึงยิ่งนัก!
ด้วยรูปกายของขุนวิชิต ณ ตอนนี้ช่างแกร่งงาม ใบหน้าหล่อเหลาสมเพศบุรุษยิ่ง

แล้วไพร่รับใช้สองคนจึงรีบออกไปแจ้งเจ้านายว่า "นายร้อยแก้ว" ผู้เป็นทหารจากล้านนามาหา
ซักพักขุนวิชิตในชุดทหารเต็มยศสมกับตำแหน่ง “ขุน” ทหารชั้นสูงของเมืองเชียงทองล้านช้าง
ซึ่งจะเป็นชุดใส่ในการเข้าเฝ้าเจ้าหลวงเท่านั้น ก็เดินขึ้นเรือนมาอย่างสง่างาม

เมื่อขุนวิชิตเห็นว่าเป็นใครมันก็ยิ้มร่า
แต่ซักพักมัก็ทำหน้าเศร้าใจเหมือนเกิดความรู้สึกที่หลากหลายปนเปกัน!

“ท่านขุน!...ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอท่านอีกครา”

ไอ้แก้วเดินเข้าใกล้พร้อมยิ้มอย่างยินดี ขุนวินชิตได้แต่พยักหน้ายิ้มบางๆ
แต่ถึงจะยิ้มน้อยๆ แต่ความหล่อเหลาสง่างามของขุนวิชิตก็ประทับใจไอ้แก้วไม่รู้ลืม

“ข้าไม่อยากเชื่อว่าเราจะต้องมาเจอกันในสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเยี่ยงนี้”

ขุนวิชิตพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยดูเจ็บปวดรวดร้าว จนไอ้แก้วเองก็รู้สึกเสียใจไม่ต่างไปจากมัน
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ทุกๆ 3 ปีอาณาจักรเชียงทองล้านช้าง
จะต้องส่งบรรณาการให้กับอาณาจักรจีน และ อาณาจักรล้านนา ซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่

แต่ก็เป็นแต่การแสดงความนับถือและให้เกียรติของอาณาจักรเล็กที่มีต่ออาณาจักรใหญ่เท่านั้น
หาเป็นการให้ในฐานะเมืองขึ้นเหมือนหลายๆ เมืองที่อยู่รายรอบเวียงนพบุรีฯ ไม่

แต่นับจากนี้ต่อไปต่างหาก ที่เมืองเชียงทองล้านช้างจะต้องส่งบรรณาการอันมีพุ่มไม้เงิน พุ่มไม้ทองทุกๆ ปี
ในฐานะเมืองขึ้นอย่างแท้จริง!

ไอ้แก้วอยากเห็นขุนทหารรูปหล่อที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
จึงเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ขุนทหารหน้าตาหล่อเหลาก็กอดไอ้แก้วอย่างยินดี
ทั้งสองกอดกันแน่นิ่งไปชั่วครู่

“ในการศึกครั้งนี้ของสองอาณาจักร...ท่านคงไม่ได้โกรธข้าด้วยใช่หรือไม่!”
เสียงที่ไอ้แก้วถามไถ่อีกฝ่ายฟังแล้วเบายิ่ง แต่ขุนวิชิตทหารหนุ่มได้ยินถนัดหู

มันสองคนกอดรัดแน่นจนเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมาในนาทีนั้น!
ขุนวิชิตลูบไล้ไปมาตาบร่างกายของเด็กหนุ่มที่มันเคยเสพสมอย่างสุขขีเมื่อหลายปีก่อน

แต่กาลบัดนี้เด็กหนุ่มที่เป็นข้ารับใช้ของเจ้านายอย่างมันกลับกลายเป็นทหารยศมิได้ต่ำต้อย
ร่างกายที่เคยสูงสง่าหน้าตารูปงามกลายเป็นแกร่งกำยำแน่นล่ำไปทั้งสรรพรางกาย!

"ข้ายอมรับว่าใจข้านั้นเศร้านัก...และข้าก็ยอมรับว่าทัพของเมืองเราทำผิดที่บุกเข้าโจมตีเวียงนันทบุรี
....แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเวียงนันบุรีกับเมืองเชียงทองสร้างมาจากปฐมกษัตริย์องค์เดียวกัน...อันเป็นชาวลาวและชาวกาว"

"ข้าทราบ!...แต่นั่นก็เนิ่นนานหลายร้อยปีมากแล้ว
...เพราะบัดนี้ดินแดนนั้นเป็นของอาณาจักรล้านนาหมดสิ้นแล้ว!
...ไม่ต่างจากพวกท่านที่ได้เมืองน้อยใหญ่ที่อยู่รอบอาณาจักร"

ขุนวิิชิตเป็นขุนทหารที่ฉลาดและได้รับการเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์มันย่อมรู้เรื่องการศึกที่ไอ้แก้วพูดได้ดี
และมันก็ไม่อยากถกเถียงกันกับชู้รักเก่ารูปงามอย่างไอ้แก้วด้วยเรื่องการเมืองแบบนี้

ทหารหนุ่มหล่อกอดไอ้แก้วแน่นแล้วยิ้มน้อยๆ

“เจ้าเป็นหนุ่มขึ้นมากไอ้แก้ว!...และตอนนี้ยังเป็นทหารกล้าของล้านนาช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง!”
ไอ้แก้วก็ลูบหน้าของอีกฝ่ายไปมาด้วยความคิดถึง

เรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนถึงแม้จะแค่ไม่กี่ทิวาและราตรีมันก็จดจำมั่นไม่ลืมเลือน
ว่าความสุขที่ได้รับจากขุนวิชิตนั้นเกษมสุขมากแค่ไหน!
อีกทั้งแหวนทองที่ทหารหนุ่มที่ได้ฝากไว้เป็นรางวัลก็ยังเก็บไว้ไม่เคยทิ้งไป

“ข้าคิดถึงท่านขุนยิ่งนัก!”

ไอ้แก้วเริ่มลูบไล้ไปมาตามร่างแกร่งกำยำของอีกฝ่ายด้วยความต้องการตามธรรมชาติ
มือมันเริ่มกำไปที่กลางลำตัวของอีกฝ่ายด้วยความรัญจวนใจ
เมื่อสัมผัสได้ว่าลำลึงค์ของอีกฝ่ายเริ่มตั้งชูชันแข็งกล้า!

บัดนี้ขุนวิชิตเองก็เกิดความต้องการขึ้นมาไม่ต่างไปจากทหารหนุ่มแห่งล้านนาผู้มีรูปกายงามตรงหน้า
แล้วขุนวิชิตก็พาไอ้แก้วเข้าสู่ห้องนอนด้านในด้วยความต้องการทางร่างกายที่ร้อนปานเดือนเมษา!

เมื่อเข้าสู่ห้องทั้งไอ้แก้วและขุนวิชิตต่างก็กอดจูบกันอย่างเร่าร้อนซาบซ่าน!
ทั้งสองครวญครางเบาๆ ออกมาจากลำคอด้วยเสียงที่ฟังดูกระหายในกาม!

บัดนี้ไม่มีการสนทนาอันใดกันอีกต่อไป
เมื่อต่างฝ่ายต่างกอดจูบบดริมฝีปากกันและกันด้วยความเร่าร้อนที่แผดเผา!

“อา!!!...”
“อืมมม!!!”

ทั้งสองกอดจูบกันและกันอย่างเร่าร้อนเสียงครวญครางที่ดังบ่งบอกความต้องการในกัน
จนเสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดสิ้น!!!

ร่างแกร่งล่ำกำยำของทั้งสองงดงามราวประติมากรรมชิ้นงาม!
อาวุธของทั้งสองแข็งกล้าทรงพลัง!

ทั้งสองต่างกอดรัดคลึงเคล้าตามร่างแกร่งกำยำของกันและกัน
จนความกำหนัดเริ่มประทุหนักหน่วง!

เมื่อหลายปีก่อนไอ้แก้วเคยปรนนิบัติขุนทหารผู้หล่อเหลาคนนี้มาก่อน
มันย่อมรู้ดีว่าขุนทหารผู้นี้มีลีลาเสพสังวาสที่ซาบซ่านเพียงไหน!

ขุนวิชิตทหารเชียงทองผลักไอ้แก้วให้นอนลงไปบนที่นอนอย่างเร่าร้อน!
บัดนี้ไอ้แก้วถูกขุนทหารดูดเลียตามร่างกายเนียนขาวจนได้แต่ครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน!

“อา!...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!”

มันได้แต่กอดรัดร่างแกร่งล่ำของอีกฝ่ายที่กำลังใช้ปากดูดเลียตามยอดอกของตัวเองจนใจแทบขาด!
อารมณ์เสียวซ่านสุดยอดจนมันหลับตาแน่นิ่งทำได้เพียงการส่งเสียงเครือๆในลำคอ

“ไอ้แก้ว!...ข้าทนไม่ไหวแล้ว!!!...ขอข้าเสพสุขกับตัวเจ้าเถอะนะ!”

“ข้ามาพบท่านในครั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านอภัยให้แก่ข้าแทนกองทัพล้านนา!
...หากท่านต้องการสิ่งใดก็จงทำตามใจท่านเถอะ!”

ไอ้แก้วตอบอย่างเสียวซ่านในอารมณ์ที่กำลังได้รับ!

ขุนวิชิตทหารเอกแห่งเชียงทองยิ้มอย่งพึงใจแล้วจับขาของไอ้แก้วอ้ากว้าง
แล้วกดอาวุธขนาดใหญ่ยาวเข้าสู่ช่องทางแห่งความสุขของไอ้แก้วทันที!

ไอ้แก้วได้แต่นอนดิ้นทุรนทุรายในยามที่ขุนทหารรูปหล่อพยายามผลักดันเข้ามา!
และเมื่ออาวุธขนาดใหญ่ของขุนทหารรูปหล่อมุดเข้าจนสุดไอ้แก้วก็ร้องครางด้วยความเสียวสุดขีด!
สองแขนกอดรัดร่างของอีกฝ่ายแนบแน่น!

“อ๊ะ!...ท่านขุน!...อา!...ซี้ดดดด!!!”

บัดนี้ขุนวิชิตทหารหล่อแห่งเชียงทองก็สูดหายใจอย่างหื่นกระหาย
แล้วเริ่มกระแทกอาวุธคู่กายที่ใหญ่โตของตัวเองวนเข้าออกในตัวของไอ้แก้วอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง!!!
สิ่งที่ขุนทหารทำนั้นดูราวกับจะประหัดประหารไอ้แก้วให้ตกตาย!

เพื่อเป็นการแก้แค้นที่อาณาจักรสูญเสียอิสระจากน้ำมือของอาณาจักรล้านนา
แต่ไอ้แก้วมันรู้ดีว่าขุนทหารหาใช่คนจิตใจต่ำทรามไม่ถึงแม้จะแค้นเคืองล้านนาเพียงใด
มันเป็นอีกผู้หนึ่งที่ขุนทหารให้ความเมตตาไม่เคยเสื่อมคลาย!

“ซี้ดดดด!!!”

ขุนทหารเชียงทองกระแทกกระทั้นอาวุธคู่กายเข้าในตัวไอ้แก้วอย่างมีความสุข
ทั้งรุนแรง ทั้งหนักหน่วง จนไอ้แก้วเสียววาบๆ ตามช่องลับและร่างกายที่ขาวเนียน!

แต่ถึงจะเจ็บจุกด้วยขนาดที่ใหญ่โตซักเพียงไหนแต่ความสุขที่ได้รับกลับไม่น้อยไปกว่ากัน
ทั้งสองกอดก่ายกันไปมาอย่างเร่าร้อนเสียวซ่าน!

ขุนทหารร่างบึกบึนกว่าทั้งกระหน่ำร่างทหารที่ขาวเนียนกว่าอย่างเมามันในอารมณ์ที่ห่างหายไปนายหลายปี!
ฝ่ายทหารที่ร่างเล็กกว่าก็นอนอ้าขากว้างให้ขุนทหารเสพสังวาสทางประตูหลังอย่างพร้อมยอมพลีให้!

และเมื่อความเสียวสุขของทั้งสองใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด!
ร่างกายของทั้งสองก็แตกพลั่กไปด้วยเหงื่อล้นพ้นตัว!
สีหน้าของทั้งสองดูสุขล้นเหลือในเพลิงกามที่ได้รับจากร่างกันและกัน!

“ไอ้แก้วววว!...อา!...ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว!!!”
“อา!...ท่านขุน!!!...ข้า!....อา!...ซี้ดดดดด!!!”

ต่างฝ่ายต่างครวญครางปานใจจะขาด

แล้วในที่สุดขุนวิชิตก็ฉีดน้ำแห่งความแค้นเข้าสู่ร่างกายของไอ้แก้วอย่างมากมาย!!!
ไอ้แก้วนอนหลับตาพริ้มอย่างยินดี เพราะมันคิดว่านี่คือการชดเชยความแค้นของสองอาณาจักรในครั้งนี้!

เมื่อทั้งสองเสพสุขกันจนอ่อนเพลียต่างก็นอนกอดรัดกันอยู่อย่างนั้น และพูดคุยกันไปอย่างคิดถึง!
หลายเรื่องราวที่ผ่านมาหลายปีต่างก็บอกกล่าวแก่อีกฝ่ายให้ได้รับรู้
ยิ่งได้รับรู้ขุนวิชิตทหารเอกแห่งเชียงทองก็ยิ่งพึงใจในตัวไอ้แก้วมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น