วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2563

หลอกเย็ดเพื่อนร่วมหอ 77 ตอนงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา

              ผมกับหนุ่มเป็นแฟนกันอยู่เกือบเทอม โดยที่หนุ่มเป็นฝ่ายมาหาผมเป็นส่วนมาก สัปดาห์เว้นสัปดาห์ หรือมากกว่านั้นแล้วแต่โอกาส ส่วนผมไปหาหนุ่มเพียงครั้งสองครั้ง โดยหนุ่มบอกว่าขอเป็นฝ่ายมาหาผมเองจะดีกว่า  
              “ทำไมหนุ่มไม่ให้เราไปหาที่ขอนแก่นบ้าง” ผมพูดขึ้นมาหลังจากที่เราเตรียมตัวจะไปส่งหนุ่มกลับขอนแก่น โดยครั้งนี้หนุ่มมาถึงตั้งแต่วันศุกร์บ่าย แล้วเดินทางกลับวันอาทิตย์เช้า เรามีเวลาอยู่ด้วยกันและตักตวงความสุขมากเป็นพิเศษ
              ผมพาหนุ่มตะเวณทั่วเมือง ทั้งไหว้พระ หรือออกไปนอกเมืองซื้ออะไรไปกินเหมือนไปปิ๊กนิก ค่ำมาก็กลับห้องอาบน้ำผลัดกันถูขี้ไคล ตกกลางคืนก็จัดเต็มคืนละไม่ต่ำกว่า 2 ดอก เช้ามาก็ทำการล้างหน้าไก่เพิ่มอีก 1 ดอก
              เวลาอยู่ด้วยกันเราสองคนแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ถ้าไม่ออกไปไหนก็จะนอนกอดกันกลมบนเตียงอย่างมีความสุข
              “เรามาหาต๊ะสะดวกกว่า พอกลับจากต๊ะ เราก็จะได้แวะลงที่บ้านหาพ่อกับแม่ด้วย เพราะเป็นทางผ่าน”
              “แต่เราอยากไปรึมบึง”
              “พลั๊ก......” เสียงหมัดล้วน ๆ ทุบเข้ากลางหลังผมอย่างจัง
              “โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย”
              “เรื่องทะลึ่งนี่ต้องยกให้เลย”
              “ทะลึ่งอะไร.......................เค้าเจ็บนะ”
              “ยังจะมาพูดอีก.....ก็ทุบให้เจ็บ ทุบไม่เจ็บจะทุบทำไม”
              “ไม่กลัวเขาช้ำในตายหรอ”
              “อย่างต๊ะนี่ตายยาก”
              ผมเอาจมูกชนปลายจมูกหนุ่มแล้วขยี้เบา ๆ
              “แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่” ผมอ้อนหนุ่มขณะที่นอนหนุนตักหนุ่มบนเตียงอย่างมีความสุข
              “คงอีกสามอาทิตย์มั้ง เพราะช่วงนี้เรียนหนัก”
              “อืม...นานจังเค้าคงคิดถึงแย่”
              “ทำปากดี” หนุ่มเอามือมาบิดปลายจมูกผมเล่นเบา ๆ
              “ไปลุก ๆ ไปส่งเราที่บขส.ได้แล้ว”
              “คราบบบบบบบบบบบบบบบบบ” ผมลุกขึ้นหวีผมให้เรียบร้อยแล้วพาหนุ่มออกจากห้องพาไปส่งที่ บขส. เพื่อเดินทางกลับขอนแก่น
              ความสุข ความรัก ระหว่างผมกับหนุ่มมันช่างเป็นช่วงที่หอมหวานที่สุด ผมมองไปทางไหนเห็นแต่สีชมพู นับวันรอว่าเมื่อไหร่หนุ่มจะมาหา ถึงแม้ว่าทุกวันเสาร์ เราจะมีสัญญาใจโทรหากันตลอด บางวันถึงกับมานั่งรอโทรศัพท์ก่อนถึงเวลาเป็นชั่วโมง จนป้าสงสัย
              “โทรศัพท์เสียหรอต๊ะ”
              “เปล่าจ๊ะป้า”
              “ป้าเห็นแกจ้องแต่โทรศัพท์”
              “คือผมรอโทรศัพท์จากเพื่อนนะป้า”
              “อ๋อ....แล้วเขาจะโทรมาตอนไหนล่ะป้าไปตามให้ก็ได้”
              “ประมาณทุ่มนึงนะป้า”
              “เออ นี่มันเพิ่ง 5 โมงกว่า ๆ มึงมารอตั้งแต่ตอนนี้นี่นะ”
              “เผื่อเขาโทรมาก่อนไงป้า”
              “ไอ้ต๊ะนี่ท่าจะบ้า.....กูไปล่ะ” ป้าเดินหนีไปด้วยความงงกับพฤติกรรมผม ซึ่งป้าเคยเห็นหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยถาม
              แต่ละครั้งที่คุยกันก็ประมาณ 20-30 นาที โดยแลกเหลียน 1 บาท เหลียน 5 บาทไปเป็นกำมือ พอมีสัญญาณเตือนเมื่อไหร่หยอดเพิ่มตลอด โดย 3 นาทีแรก 5 บาท นาทีต่อไปนาทีละ 2 บาท จะมีเสียงเตือนให้หยอดเหลียนเพิ่ม เมื่อเหลือเวลาประมาณ 15-20 วินาที แล้วแต่เครื่องตั้งไว้
              ช่วงคบกับหนุ่มผมไม่ได้ข้องแวะหรือเย็ดกับเพื่อนคนไหนเลย ยกเว้นไอ้เจตคนเดียวและครั้งเดียว เพราะเพื่อนแต่ละคนก็มีเมียเป็นของตัวเองกันหมดแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมคบกับหนุ่ม เพราะหนุ่มมาวันหยุด ซึ่งเพื่อน ๆ ก็กลับต่างอำเภอพอดี และอีกอย่างแต่ละคนก็มีเด็กของตัวเองหมดแล้ว
              เสาร์นี้ผมกะว่าจะไปเซอร์ไพร์หนุ่มที่ขอนแก่น โดยป้าเพื่อนขอให้ไปช่วยเล่นตลกกับคณะหมอลำของป้า เพราะตลกประจำเกิดป่วยกระทันหัน ป้าเลยมาขอให้ช่วยเพราะรับงานเขาไว้แล้วไม่อยากให้เสียงาน อีกอย่างตลกถือว่าจำเป็นเพราะเป็นตัวเดินเรื่อง หรือเชื่อมต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้คนดูเข้าใจ บางคณะใช้ตลกเป็นตัวเอกก็มี  
              ผมเดินทางไปกับคณะหมอลำซึ่งเขาจ้างไปเล่นที่บ้านหนองแวงจังหวัดขอนแก่น กะว่าเล่นเสร็จจะไปหาหนุ่มที่บ้านพักในตัวเมือง
              ในวันงานผมเล่นเป็นตัวตลกตามที่ป้าบอกตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นงานถนัดของผมเพราะไม่ต้องแต่งตัวเยอะ แต่วันนี้ผมแต่งหน้าเข้มเป็นพิเศษเพราะกลัวใครจำได้ พองานเลิกประมาณเที่ยงคืน ผมขอตัวป้าเจ้าของคณะหมอลำกลับก่อนโดยจ้างสามล้อไปที่บ้านพักของหนุ่มที่อยู่ในตัวเมืองทันที
              ผมมาถึงบ้านพักของหนุ่มประมาณเกือบตีหนึ่ง บ้านปิดไฟเงียบสนิท ผมเรียกตะโกนหนุ่มอยู่หลายครั้งไม่มีเสียงตอบ กลัวชาวบ้านลุกขึ้นมาด่าเพราะดึกแล้ว  ผมเองมีกุญแจสำรองที่หนุ่มเคยเอาไว้ให้  เลยลองไขเข้าไปพอเปิดประตูเข้าไปผมเปิดไฟสว่างทั้งบ้าน แต่ไม่เจอใคร
              ผมเดินขึ้นไปข้างบนห้องนอนหนุ่มล็อกใส่กุญแจแสดงว่าหนุ่มออกไปข้างนอก ผมเลยเดินลงมานอนเล่นที่โซฟาแทน
              นั่งรอสักพักหนุ่มยังไม่มาง่วงก็ง่วง เลยปิดไฟแล้วนอนเล่นไปเรื่อย ๆ จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีได้ยินเสียงมอเตอร์ไซต์มาจอดหน้าบ้านพร้อมกับเสียงไขกุญแจ ผมชะโงกหน้าดูทางบานเกล็ดมองไม่ถนัดเพราะแสงไฟมอเตอร์ไซต์มันแยงเข้าตา เลยนั่งลงบนโซฟากะจะเซอร์ไพร์หนุ่มแบบจัง ๆ
              พอหนุ่มไขกุญแจเข้ามาผมกะจะลุกขึ้นจ๊ะเอ๋หนุ่มแต่ก็ชะงักเพราะมีคนเดินตามหนุ่มเข้ามาติด ๆ แล้วเข้ามากอดหนุ่มจากข้างหลังไว้แน่น
              หนุ่มหันหน้าไปจูบปากกันอย่างดูดดื่มโดยไม่ยอมเปิดไฟ มีแต่แสงไฟจากถนนข้างนอกที่สาดส่องเข้ามา หนุ่มจูบไปลากอีกคนมาจูบต่อที่โซฟา พอล้มตัวลงโซฟา หนุ่มนั่งทับผมเข้าอย่างจัง
              “เฮ้ย.......”หนุ่มตกใจรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
              “ว้าย ...................”อีกคนที่มากับหนุ่มเสียงเป็นผู้หญิง ร้องอย่างตกอกตกใจเสียงดัง
              หนุ่มรีบวิ่งไปตรงประตูทางเข้าที่มีสวิซต์ไฟ  พอไฟสว่างขึ้น
              “ต๊ะ..................”หนุ่มเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับยืนหน้าซีดตรงประตูทางเข้า
              ผมเองก็งงทำอะไรไม่ถูก ส่วนสาวเจ้าที่มากับหนุ่มยืนหน้าซีดปากสั่น คงตกใจสุดขีด และคงคิดว่าผมเป็นขโมยแน่นอน
              “หนุ่ม เราเอง”
              “ต๊ะ...ต๊ะ....ต๊ะมาเมื่อไหร่ มาทำไมไม่บอก”
              “หนุ่ม ใคร” สาวที่มาด้วยกันกับหนุ่มหันไปถามหนุ่ม หล่อนยืนสั่น ๆ ยังไม่หายจากตกใจเมื่อสักครู่
              ผมดูจากสภาพการแต่งตัวทั้งคู่น่าจะเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง เพราะแต่งตัวสวยหล่อกันทั้งคู่
              ฝ่ายหญิงหน้าตาน่ารัก ผมยาว รูปร่างบอบบาง ผิวขาวเนียน นุ่งกระโปรงจีบรอบตัวเสมอเข่า ใส่เสื้อผ้ามันระยิบ แสนกุดพร้อมมีโบว์ตรงบ่าทั้งสองข้าง
              “เพื่อนเราเอง” หนุ่มหันไปตอบสาวแบบเสียงสั่น ๆ
              “เรา เออ  มาถึงไม่เห็นนายเลยไขกุญแจเข้าเอง”
              “มาถึงเมื่อไหร่”
              “ตอนตีหนึ่ง” ผมแหงนดูนาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลาตีสี่กว่า ๆ
              “คือ” หนุ่มทำท่าอึกอัก
              “เราคิดว่านายไม่อยู่บ้าน  เลยจะนอนสักพักพอเช้าก็จะกลับ”
              “เราไปงานเลี้ยงมา”
              “อืม” ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะทั้งหนุ่มและสาวยังมีอาการหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้เกิดจากการตกใจ หรือง่วงนอน
              “นก ไปข้างบนก่อนนะเดี๋ยวหนุ่มตามไป” หนุ่มหันไปบอกสาวให้ไปรอที่ห้องข้างบน
              “คือ...ต๊ะ...เราอธิบายได้นะ” พอสาวเดินขึ้นบันไดพ้นสายตาหนุ่มเข้ามายืนข้าง ๆ อย่างรวดเร็วพร้อมที่จะอธิบายรายละเอียด
              ตอนแรกก็ตกใจไม่คิดว่าตัวเองจะเจอสภาพแบบนี้ พอตั้งสติได้ก็เริ่มปรับอารมณ์ให้เย็นลง หนุ่มเองก็คงไม่แตกต่างจากผมแรก ๆ ก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็รีบปรับให้เป็นปกติ
              “ไม่มีไร อย่าคิดมาก ขึ้นไปนอนเถอะดึกแล้ว  พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน เราขอนอนที่นี่สักคืนนะเดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็กลับ”
              “คือ.................ต๊ะ” หนุ่มทำท่าลังเล แต่ผมรีบดันหลังให้หนุ่มรีบขึ้นไป เพราะคุยกันตอนนี้ก็คงไม่รู้เรื่องอยู่ดี เจอสภาพแบบนี้รั้งไปก็เปล่าประโยชน์
              “ไปเถอะอย่าห่วงเลย พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” ผมดันหลังให้หนุ่มรีบขึ้นไปข้างบนเพราะกลัวสาวเจ้าจะสงสัย
              หนุ่มค่อย ๆ เดินขึ้นบันใด โดยสายตายังคงหันกลับมามองผมเป็นระยะ ผมยิ้มให้กับหนุ่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
              พอหนุ่มเดินหายลับขึ้นไปข้างบน ผมถึงกับทรุดลงไปนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง ทิ้งหัวลงไปกับพนักพิงอย่างจัง
              ผมมึนหัวอย่างหนักว่าจะเอายังไงดี ไม่รู้เกิดจากอกหัก หรือเกิดจากไม่สร่างเมา เพราะเมื่อคืนก็เล่นตลกดีเหลือเกิน บรรดาแม่ยกพ่อยกทั้งหลายเลยยื่นแก้วเหล้าให้กระดกตลอด หาทางมาบ้านหนุ่มได้ก็นับว่าบุญโข
              ผมนอนไม่หลับมันเจ็บแป็บ เสียวจี๊ดเข้าที่หัวใจ ผุดลุก ผุดนั่ง ลุกขึ้นนั่งลืมตาโพลงท่ามกลางความมืด มั้นตื้อในหัว มันตื้อในอก เกิดอาการมึนตึบอย่างบอกไม่ถูก นั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดทบทวนเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันที่เห็นเมื่อสักครู่สลับกันไปมาว่าจะเอายังไงดี จะปล่อยให้หนุ่มมีเมียตามธรรมชาติ หรือยื้อแย่งเอากลับคืนมาเพื่อสานสัมพันธ์ต่อไปเรื่อย ๆ
              อารมณ์ระหว่างเพื่อน ๆ ที่ผมเคยมีอะไรด้วยแล้วไปมีแฟนเป็นผู้หญิง กับหนุ่มที่กำลังมีแฟนเป็นผู้หญิง เพราะระหว่างเพื่อนแค่ความไคร่หรือความสนุก ต่างคนต่างมันแล้วแต่โอกาส และตกลงกันว่าจะไม่ยึดติด
              แต่สำหรับกับหนุ่มเราสองคนตกลงกันว่าจะคบกัน เป็นแฟนกัน ถึงแม้จะเคยสัญญากันไว้ว่าถ้าใครเจอคนที่ใช่กว่าเราจะไม่ยื้ออีกฝ่าย และยิ่งถ้าหนุ่มมีเมียเป็นหญิงตามธรรมชาติยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะยื้อให้หนุ่มมาจมปลักเดินบนถนนสายนี้
              ผมนั่งคิดทบทวนจนสองโมงกว่า ๆ หนุ่มก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงมา ข้างบนยังคงเงียบกริบ คงเพลียเพราะเมื่อคืนก็กลับมากว่าจะถึงตีสี่กว่า ๆ หรืออาจะคิดมากจนนอนไม่หลับ
              ผมค่อย ๆ ลุกไปล้างหน้าแปลงฟันเสร็จก็กลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้ง แหงนขึ้นไปข้างบนก็ไม่มีเสียงใด ๆ หนุ่มเองก็ยังไม่ตื่นลงมา ผมเลยหยิบเศษกระดาษมาเขียนข้อความฝากไว้
              “หนุ่มเรากลับก่อนนะ เห็นนายนอนหลับเลยไม่อยากปลุก ขอให้นายเดินตามทางที่ถูกต้องเพื่อครอบครัวและอนาคตของนาย…ลาก่อน…..ต๊ะ”
              พอเขียนข้อความเสร็จผมวางไว้หน้าทีวี น้ำตามันค่อย ๆ เอ่อล้นขึ้นมาเต็มเบ้าตา แล้วค่อย ๆ ไหลหยดลงสู่แก้มสองข้าง ผมเอามือขึ้นปาดน้ำตาก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดประตูแล้วเดินออกมาหน้าหมู่บ้าน จนมาถึงถนนใหญ่ผมจ้างสามล้อถีบไปส่งผมที่ บขส.
              “ลุงครับไป บขส.” ผมแทบไม่มีเสียงบอกสามล้ออย่างแผ่วเบา  มันจุกแน่นในอกอย่างบอกไม่ถูก จนสามล้อต้องหันกลับมาทวนที่หมายอีกครั้ง
              “บขส.บ่ครับ” ผมพยักหน้าบอกลุงสามล้อแทนคำตอบ
              ผมนั่งสามล้อแบบเหม่อลอยคิดอะไรไม่ออก ลมเย็น ๆ ปะทะเข้ากับใบหน้าที่ฉาบไปด้วยน้ำตาทำเอาหน้าผมถึงกับตึง
              สามล้อถีบพาผมลัดเลาะไปตามเส้นทางที่จะไป บขส. ผมมองไปรอบ ๆ แบบไร้จุดหมายบรรยากาศยามเช้าเมืองขอนแก่นถนนโล่ง ร้านค้ายังไม่เปิด มีแต่รถเข็นผักสดวิ่งสวนกันไปมา
              สามล้อพาผมมาถึง บขส.ตอนไหนแทบไม่รู้ตัว
              “ฮอดแล้วบักหล่า”
              “จักบาทครับ”
              “สิบห่าบาทหำ” ผมควักใบยี่สิบให้ลุงสามล้อ ลุงทอนให้ผม 5 บาท ผมรับเงินมาใส่กระเป๋าแล้วเดินไปหาซื้อตั๋วกลับบ้าน
              ผมนั่งบนรสบัสที่มีผู้โดยสารพอสมควรเลือกได้ที่นั่งฝั่งซ้ายช่วงกลางผมมองมาทางบ้านหนุ่มน้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้งจนต้องรีบขยี้ตาเพื่อกลบเกลื่อน
              รถค่อย ๆ เลื่อนตัวออกจาก บขส. อย่างช้า ๆ
              “ลาก่อนครับหนุ่มที่รัก”
              ผมเอ่ยคำว่าลาเบา ๆ ฝากสายลมให้ไปบอกหนุ่ม
              “หวังว่าเราสองคนคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป” ผมรำพึงในใจพร้อมกับเสียงสะอื้นในอก แล้วค่อย ๆ หันหน้ามองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย สมองมึนตึบคิดอะไรไม่ออกจนรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากตัวเมืองขอนแก่นมุ่งหน้าออกนอกเมืองไปเรื่อย ๆ
              ผมนั่งเอาหัวพิงขอบหน้าต่างสายตาเพ่งออกไปข้างนอกมองดูต้นไม้ข้างทางด้วยสายตาที่เลื่อนลอย น้ำตาที่เอ่อไหลโดนลมพัดกระจาย คงเหลือไว้แต่คราบน้ำตาที่แห้งติดสองแก้ม  รถวิ่งออกมาจากตัวเมืองขอนแก่นจนมาถึงมัญจาคีรีผมเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวด้วยความอ่อนเพลีย  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น